Macro Morning Focus ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2553
Summary:
1. สินค้าเกษตรปี 54 มีแนวโน้มราคาพุ่งสูง
2. โอเปกตรึงกำลังการผลิต
3. อัตราเงินเฟ้อจีนเดือน พ.ย. 53 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
Highlight:
1. สินค้าเกษตรปี 54 มีแนวโน้มราคาพุ่งสูง
- เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเผยว่า ราคาสินค้าเกษตรปี 54 มีแนวโน้มพุ่งแรง เหตุความต้องการอาหารในตลาดโลกเพิ่ม จากแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่จีนและอินเดีย ผู้ส่งออกระบุค่าเงินบาทแข็งไม่กระทบเนื่องจากไทยเป็นผู้ขายรายใหญ่ ยกเว้นการส่งออกข้าวที่ยังคงเสียเปรียบเวียดนามจากเรื่องค่าเงิน แต่ราคาข้าวยังคงทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ยางพาราราคาดีต่อเนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ยังดีอยู่ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่ราคาน้ำตาลยังคงผันผวนจากการเก็งกำไร และราคาไก่-กุ้งยังมีแนวโน้มราคาดี
- สศค.วิเคราะห์ว่า ราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในหลายทาง โดยราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นจะทำให้รายได้เกษตรกรที่แท้จริงปรับตัวสูงขึ้นตาม และจะช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนโดยรวม เนื่องจากแรงงานในภาคเกษตรมีจำนวนมากถึงร้อยละ 37.7 ของกำลังแรงงานรวม ในขณะเดียวกันราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นย่อมส่งผลถึงอัตราเงินเฟ้อให้มีแนวโน้มสูงขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องจับตามองแนวโน้มในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด
2. โอเปกตรึงกำลังการผลิต
- องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายหลักของโลก(โอเปก) ตัดสินใจตรึงโควตากำลังการผลิตในระดับเดิมที่ 24.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน พร้อมระบุว่า ราคาน้ำมันอาจชะลอตัวลงในปีหน้าตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากเศรษฐกิจที่คึกคักในปีนี้ได้หนุนให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น จนแตะระดับ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งโอเปกมองว่าเป็นปฏิกิริยาของตลาดในช่วงระยะสั้น นอกจากนี้ ยังระบุว่ากำลังการผลิตและความต้องการน้ำมันอยู่ในภาวะสมดุล และราคาระหว่าง 70 - 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถือเป็นราคาที่เหมาะสม
- สศค. วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 54 สศค. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ต่อปี ชะลอลงจากปี 53 ที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี (คาดการณ์ ณ ก.ย. 53) ผลจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบาง หนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในยุโรป และความกังวลภาวะฟองสบู่ของเศรษฐกิจจีน สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ G3 ที่ออกมาดี และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จากการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ ทั้งนี้ สศค.คาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 75 - 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
3. อัตราเงินเฟ้อจีนเดือน พ.ย. 53 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนดือนพ.ย. 53 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.1 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 51 และสูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าจีนอาจใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการควบคุมราคาสินค้า ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าการใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นของจีนอาจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้น เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจีนอาจออกมาตรการในการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว
- สศค. วิเคราะห์ว่า แนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในจีนอาจเป็นสัญญาณความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ของจีน ซึ่งหากเป็นจริงอาจจะส่งผลให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากราคาสินค้านำเข้าจากจีนที่ราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันหากนักลงทุนหันกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะทำให้เงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียชะลอลง และบรรเทาปัญหาค่าเงินในภูมิภาครวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:
Fiscal Policy Office Tel. 02-273-9020 Ext.3665 : www.fpo.go.th