Macro Morning Focus ประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2553
Summary:
1. สศช. เผยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในปีหน้า
2. ภาคขนส่งจ่อปรับราคาค่าขนส่งกว่าร้อยละ 5 หลังปีใหม่
3. ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นสัดส่วนสำรองเงินฝากอีก 0.5%
Highlight:
1. สศช. เผยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในปีหน้า
- เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากค่าแรงคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 10 ของต้นทุนสินค้า ขณะที่ต้นทุนหลักมาจากวัตถุดิบและพลังงาน โดยในปี 2554 สศช.คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 80-85 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น การปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5
- สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2554 ที่กระทรวงแรงงานโดยคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2554 มีข้อสรุปให้ปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ย 11 บาททั่วประเทศ และทำให้ค่าเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศอยู่ที่ 176.3 บาทต่อวันนั้น คาดว่าจะทำให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และจะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคของครัวเรือนและเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม แรงงานจะต้องมีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการควรต้องปรับตัวเพื่อรองรับต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 54 ทั้งนี้ สศค. คาดว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อปีหน้าให้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 0 - 0.5
2. ภาคขนส่งจ่อปรับราคาค่าขนส่งกว่าร้อยละ 5 หลังปีใหม่
- ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประกาศปรับฐานค่าขนส่งใหม่ทั้งหมดอีกอย่างน้อย 5% ตั้งแต่ต้นปี 54 ขณะที่ผู้ประกอบการ ขสมก.จะเสนอขอปรับขึ้นค่าโดยสารหลังปีใหม่เช่นกัน ขณะที่นายกสมาคมรถยนต์โดยสารหารือขึ้นค่าโดยสารอีก 6 สตางค์ ตามต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตได้หารือแนวทางลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนกรณีหากดีเซลปรับราคาสูงขึ้นกว่าลิตรละ 30 บาท พร้อมหามาตรการแก้ไขปัญหาต้นทุนการขนส่ง เพื่อรับมือราคาน้ำมันโลกผันผวน
- สศค. วิเคราะห์ว่า ภาคขนส่งมีความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่เป็นพลังงานเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะพลังานจากน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับสองรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิต ดังนั้นต้นทุนการขนส่งจึงแปรผันตรงต่อราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูง โดย สศค.คาดว่าปี 53 ราคาน้ำมันดูไบจะเฉลี่ยประมาณ 76.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ในปี 54 คาดว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
3. ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นสัดส่วนสำรองเงินฝากอีก 0.5%
- ธนาคารกลางจีนปรับขึ้นสัดส่วนสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อีก 0.5% มาอยู่ที่ 18.5% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 เดือน และเป็นครั้งที่ 6 ของปี 53 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 20 ธ.ค.นี้ เนื่องจากมีความกังวลในปัญหาอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆนี้
- สศค. วิเคราะห์ว่าเนื่องจากประเทศจีนมีความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวในอัตราเร่ง (โดยข้อมูลล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของจีนดือนพ.ย. 53 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.4 หรือที่ร้อยละ 5.1 ต่อปีซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.51) จึงเป็นเหตุให้ ธนาคารกลางจีนจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมปริมาณในเงินในระบบ ซึ่งมาตรการการเงินดังกล่าว อาจจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตราชะลอลงได้ ทั้งนี้ สศค. คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 53 จะขยายตัวที่ร้อยละ 10.3 ต่อปี (ประมาณการ ณ เดือน ก.ย. 53)
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:
Fiscal Policy Office Tel. 02-273-9020 Ext.3665 : www.fpo.go.th