วันนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่า ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และวาระที่ 3 แล้ว และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณา ของสภาผู้แทนราษฎร มีดังนี้
1) กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐ และมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมีการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการ กองทุน และอาจมอบหมายให้บุคคลใดดำเนินการแทน ตามความเหมาะสมได้
2) ผู้มีสิทธิเป็นสมาชิก กอช. จะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็น สมาชิกของกองทุนเพื่อการชราภาพใดๆ ที่มีการสมทบเงินจากรัฐหรือนายจ้าง เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการกรุงเทพมหานคร กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น กองทุนประกันสังคม (ซึ่งส่งเงินเพื่อได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เป็นต้น
ทั้งนี้ ได้มีการขยายอายุของผู้มีสิทธิเป็นสมาชิก กอช. ที่อายุ 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันที่กองทุนเปิดรับสมาชิก ให้เป็นสมาชิกต่อไปได้อีก 10 ปี ซึ่งผู้สมัครในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะรวมถึงผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ด้วย
3) การจ่ายเงินเข้ากองทุนมาจาก 2 ฝ่าย คือ
3.1) สมาชิกจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50 บาท แต่ไม่เกินจำนวนที่จะกำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งจะกำหนดไว้ 1,100 บาทต่อเดือน
3.2) รัฐบาลจ่ายเงินสมทบให้แก่สมาชิกตามระดับอายุของสมาชิก และเป็นอัตราส่วนกับจำนวนเงินที่สมาชิกสะสมเข้ากองทุน โดย การจ่ายเงินสมทบในระยะแรกจะกำหนดในกฎกระทรวง ดังนี้
อายุสมาชิก อัตราเงินสมทบ เงินสมทบสูงสุด ไม่ต่ำกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี ร้อยละ 50 ของเงินสะสม ไม่เกิน 600 บาทต่อปี มากกว่า 30 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี ร้อยละ 80 ของเงินสะสม ไม่เกิน 960 บาทต่อปี มากกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปี ร้อยละ 100 ของเงินสะสม ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี
4) รัฐบาลรับประกันให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการนำเงินสะสมและเงินสมทบไปลงทุนไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงิน ฝากประจำประเภท 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารพาณิชย์แห่งใหญ่ 5 แห่ง โดยจะคำนวณเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้รับกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำดังกล่าวในวันที่สมาชิกสิ้นสมาชิกภาพเพราะอายุครบ 60 ปี หรือเสียชีวิต
5) การจ่ายเงินออกจากกองทุน มีดังนี้
เหตุรับเงิน ลักษณะการจ่ายเงิน หมายเหตุ 1. อายุครบ 60 ปี รับบำนาญรายเดือนตลอดชีวิต - หากเสียชีวิตจะคืนเงินที่เหลือแก่ทายาท - หากมีเงินในบัญชีไม่ถึงจำนวนบำนาญขั้นต่ำ จะจ่าย “เงินดำรงชีพ” เท่ากับบำนาญขั้นต่ำ เป็นรายเดือนจนกว่าเงินในบัญชีจะหมด 2. ทุพพลภาพ มีสิทธิรับเงินก้อน - เงินสมทบ และเงินที่คงไว้ในกองทุน (ถ้ามี) = ไม่เกิน (จำนวนเงินสะสม + จะเก็บไว้จ่ายบำนาญเมื่ออายุครบ 60 ปี ผลประโยชน์เงินสะสม) - ออมต่อหรือไม่ออมก็ได้ 3. ลาออกจากกองทุน มีสิทธิรับเงินก้อน กลับมาสมัครเป็นสมาชิกได้อีก = ไม่เกิน (จำนวนเงินสะสม + ผลประโยชน์เงินสะสม) 4. เสียชีวิต รับเงินก้อน = จำนวนเงินในบัญชี จ่ายเงินแก่ทายาท หากไม่มีทายาทจะจ่ายให้ ผู้ที่สมาชิกแจ้งชื่อไว้กับกองทุน
6) สิทธิการรับเงินตามพระราชบัญญัตินี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่อาจโอนแก่กันได้
7) กรณีที่สมาชิกเปลี่ยนงานและทำให้สมาชิกได้รับความคุ้มครองหรือหลักประกันทางรายได้เพื่อการชราภาพตามกฎหมายอื่นที่มีรัฐ หรือนายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุน หรืออยู่ในระบบบำนาญใดๆ ให้สมาชิกคงเงินไว้ในกองทุน และคงการเป็นสมาชิกต่อไป โดยให้สมาชิกสามาร ถออมเงินสะสมต่อไปได้ ทั้งนี้ เงินสะสมที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุนในกรณีนี้ จะไม่นำมารวมคำนวณบำนาญและรัฐมิได้ค้ำประกันผลประโยชน์ตอบแทน
8) กรณีที่สมาชิก หรือผู้รับบำนาญ หรือผู้รับเงินดำรงชีพเสียชีวิต และยังมีเงินคงเหลือในบัญชีของผู้นั้น ให้จ่ายเงินที่เหลือนั้นแก่ทายาท แต่หากไม่มีทายาทให้จ่ายเงินนั้นแก่ผู้ที่สมาชิกได้แจ้งไว้กับกองทุน
การดำเนินการขั้นต่อไป มีดังนี้
1) ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... คาดว่าจะมีผลใช้บังคับในเดือนเมษายน 2554 ซึ่งจะทำให้ กอช. เปิด รับสมาชิกได้ในเดือนเมษายน 2555
2) กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการบังคับใช้ ร่างพระราชบัญญัตินี้ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการเตรียมการ 5 คณะ เพื่อดำเนินการในด้านต่างๆ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านองค์กรและบุคลากร ด้าน กฎหมาย ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านงบประมาณ ระบบบัญชี การเงิน และพัสดุ และด้านข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้การจัดตั้งกองทุน การออมแห่งชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จตามกำหนด
“ทั้งนี้ กอช. จะเป็นเครื่องมือของรัฐที่ช่วยสร้างหลักประกันยามชราภาพในรูปแบบบำนาญ สร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ ประชาชน โดยเฉพาะแรงงานที่อยู่นอกระบบ ซึ่งครอบคลุมผู้สิทธิเป็นสมาชิกของกองทุนทั้งสิ้นประมาณ 35 ล้านคนหรือร้อยละ 53 ของประชากร ทั้งประเทศ ให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปบำนาญ เพื่อเป็นรายได้สำหรับการดำรงชีวิต และสร้างความมั่นคงในชีวิตวัยชรา” รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังกล่าวในท้ายที่สุด
สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3688
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 8/2554 2 กุมภาพันธ์ 54--