ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนและอาเซียน+3 วันที่ 5-7 เมษายน 2554 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 12, 2011 09:14 —กระทรวงการคลัง

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance and Central Bank Deputies’ Meeting : AFDM) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting : AFDM+3) ระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน 2554 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีผลการประชุม ดังนี้

1. การประชุม AFDM จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554 มี Dr. Bambang Brodjonegoro ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังของอินโดนีเซียเป็นประธาน ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือด้านการเงินการคลังของอาเซียนด้านต่างๆ เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนพิจารณาในวันที่ 8 เมษายน 2554 เช่น ความคืบหน้าของการดำเนินการตาม Roadmap for Financial and Monetary Integration ภายใต้ AEC Blueprint ในด้าน (1) การพัฒนาตลาดทุน (2) การเปิดเสรีบัญชีทุนเคลื่อนย้าย และ (3) การเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน และระบบการชำระราคาและการส่งมอบระหว่างธนาคารกลางอาเซียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำหนดไว้ในปี 2558 ตลอดจน รับทราบผลการดำเนินงานด้านการประกันภัย ด้านศุลกากร และการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) และการจัดงาน ASEAN Finance Ministers’ Investors Seminar (AFMIS) เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานด้านภาษี (ASEAN Forum on Taxation) ซึ่งจะช่วยให้มีการประสานนโยบายด้านภาษีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และจะเสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาเซียนให้ความเห็นชอบต่อไป

2. สำหรับการประชุม AFDM+3 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2554 มี Dr. Bambang Brodjonegoro ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังของอินโดนีเซีย และนาย Rintaro Tamaki ปลัดกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเป็นประธานร่วม ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความคืบหน้าของมาตรการริเริ่มต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 ได้แก่

2.1 ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย [Asian Bond Markets Initiative (ABMI)] โดยเฉพาะความคืบหน้าในการจัดตั้งกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุน (Credit Guarantee and Investment Facility : CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งเป็นกองทุนค้ำประกันพันธบัตรให้แก่ภาคเอกชน เพื่อช่วยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสามารถระดมทุนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมฯ ได้เร่งรัดให้มีการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ของ CGIF โดยเร็ว เพื่อให้ CGIF สามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2554

2.2 ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะทำงานเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) และได้สรุปแนวทาง (Operational Guidelines) การเพิ่มประสิทธิภาพของ CMIM โดยการกำหนดรายละเอียดและขั้นตอนที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินตามความตกลง CMIM เพื่อสามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่สมาชิกประสบปัญหาดุลการชำระเงินหรือขาดสภาพคล่องในระยะสั้น

2.3 นอกจากนี้ ที่ประชุม AFDM+3 ได้รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) ที่จะจัดตั้งที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์และติดตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกและของภูมิภาค และให้ความสนับสนุนด้านข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินภายใต้ความตกลง CMIM นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้นาย Wei Benhua จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ (Director) ของ AMRO ในปีแรก และเห็นชอบให้นาย Yoichi Nemoto จากญี่ปุ่น ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการในปีที่ 2 และ 3 เนื่องจากบุคคลทั้ง 2 ต่างเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ทั้งนี้ คาดว่าสำนักงานฯ จะสามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

2.4 เนื่องจากในปัจจุบันความร่วมมือทางการเงินภายใต้มาตรการริเริ่มต่างๆ ของอาเซียน+3 มีความคืบหน้าอย่างมากและได้มีผลสำเร็จลุล่วง โดยเฉพาะความสำเร็จของ CMIM ประเทศสมาชิกจึงสนับสนุนให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคในอนาคต (Future Priorities of ASEAN+3 Financial Cooperation) โดยให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือใหม่ 3 ด้าน ได้แก่ (1) ความร่วมมือทางการเงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค (2) การใช้เงินสกุลของภูมิภาค (Regional Currencies) สำหรับการค้าขายและการลงทุนในภูมิภาค และ (3) การจัดตั้งกลไก/กองทุนการประกันภัยที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Disaster Insurance Scheme) ซึ่งในประเด็นนี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้สนับสนุนข้อเสนอทั้ง 3 ด้าน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินสกุลของภูมิภาคในการค้าและการลงทุนในภูมิภาค เพราะเห็นว่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการชำระราคาและอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งจะเป็นการแก้ไขภาวะความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนได้ในระยะยาว

2.5 ในการประชุม AFDM+3 ที่ประชุมฯ ยังได้ร่วมหารือเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคและเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยผู้แทนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย [Asian Development Bank (ADB)] และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ [International Monetary Fund (IMF)] ได้รายงานต่อที่ประชุมฯ ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคว่า ยังคงมีการขยายตัวได้ร้อยละ 5.7 — 6.4 ซึ่งมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความเปราะบางทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 ยังจะต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ (1) ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสถานการณ์โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นสายการผลิตสำคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ (2) ความกดดันของภาวะเงินเฟ้อ (3) ความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และ (4) ความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ

2.6 นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายในการบริหารจัดการภาวะเงินเฟ้อที่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและน้ำมัน ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคในปัจจุบัน โดย ADB และ IMF ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ดี ที่ประชุมฯ ได้มีความเห็นร่วมกันว่า การดำเนินนโยบายการเงินการคลังจะต้องเป็นไปโดยมีความสมดุลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และในการดำเนินโยบายการเงินผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ควรต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาถึงการเพิ่มภาระทางด้านต้นทุน โดยเฉพาะแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วย และสำหรับการแก้ปัญหาแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อในระยะยาวนั้น จะต้องดำเนินการเพิ่มศักยภาพในการผลิตและการแข่งขันของภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคการเกษตร เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนของอุปทาน และให้ความสำคัญต่อการลงทุนในโครงการที่มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือก

ส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

โทร. (02) 273-9020

--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 42/2554 11 เมษายน 54--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ