ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการโอนย้ายเงินออมในระบบการออมระยะยาว สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องอิงกับการเกษียณอายุ ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับ เนื่องจากลูกจ้างออกจากงานเพราะตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี
2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่มีสิทธิได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากลูกจ้างออกจากงานในกรณีอื่น แต่เมื่อออกจากงานแล้วได้คงเงินหรือผลประโยชน์นั้นไว้ทั้งจำนวนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและต่อมาได้รับเงินหรือผลประโยชน์หลังจากลูกจ้างผู้นั้นตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการโอนย้ายเงินออมในระบบการออมระยะยาว สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้แก่การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยไม่จำเป็นต้องอิงกับการเกษียณอายุ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี”
ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการภาษีดังกล่าวยังช่วยให้การปฏิบัติทางภาษีระหว่างกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีความเท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน อีกทั้ง ยังเป็นการผ่อนปรนภาระของรัฐบาลในการสนับสนุนดูแลผู้สูงอายุอีกด้วย”
สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร
โทร. 0 2272 8033
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 57/2555 31 พฤษภาคม 2555--