นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2556 ว่า Fitch ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล (Foreign Currency Long-Term Issuer Default Rating) จากระดับ BBB เป็น BBB+ โดยมุมมองที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) และยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทของรัฐบาล (Local Currency Long-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ A- โดยมุมมองที่มีเสถียรภาพ พร้อมทั้งปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของ ตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล (Foreign Currency Short-Term Issuer Default Rating) จากระดับ F3 เป็น F2 และปรับเพิ่มระดับเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) จากระดับ BBB+ เป็น A- ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch ณ วันที่ 8 มีนาคม 2556
อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch Ratings สถานะ Outlook อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล ระยะยาว (Foreign Currency Long-Term IDR) BBB ? BBB+ Stable ระยะสั้น (Foreign Currency Short-Term IDR) F3 ? F2 - อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทของรัฐบาล ระยะยาว (Local Currency Long-Term IDR) A- Stable เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) BBB+ ? A- -
ปัจจัยหลักในการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ
Fitch เห็นว่า การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- เศรษฐกิจของไทยมีความยืดหยุ่นจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นติดต่อกันรวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรงในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ซึ่งความยืดหยุ่นดังกล่าวเป็นผลจากกรอบนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่น อัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) เฉลี่ยระหว่างปี 2551-2555 ที่ร้อยละ 2.9 สูงกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่ม BBB และ A ที่มีค่ากลางที่ร้อยละ 2.4 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ ความผันผวนของอัตราการเจริญเติบโตเป็นไปในทางเดียวกับค่ากลางของกลุ่ม BBB ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รักษาระดับอัตราเงินเฟ้ออ้างอิงจากราคาผู้บริโภคไว้ในระดับต่ำที่ตัวเลขหลักเดียวมานานกว่า 1 ทศวรรษ รวมถึงประวัติความมีเสถียรภาพของราคาที่เอื้อมากกว่าประเทศในกลุ่ม BBB ได้เพิ่มความสามารถของเศรษฐกิจในการดูดซับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
- Fitch ได้ทำการปรับปรุงการประเมินความเสี่ยงต่อการคาดการณ์นโยบายและสภาพแวดล้อมในการลงทุนที่เกิดจากความตึงเครียดทางการเมืองและสังคม อัตราการลงทุนได้เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ดำรงตำแหน่งและไม่ประสบเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงนอกกรอบกฎหมายหลังจากได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
- ภาคการเงินต่างประเทศของไทยถือเป็นจุดแข็งของการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยเศรษฐกิจไทยมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิในสัดส่วนร้อยละ 42 ของ GDP โดย ณ สิ้นปี 2555 สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของประเทศไทยมีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 45 ของ GDP ซึ่งดีกว่าค่ากลางของกลุ่ม BBB ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4 ปัจจัยนี้ทำให้ประเทศไทยสามารถรองรับผลกระทบจากต่างประเทศได้มากและเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
- อันดับความน่าเชื่อถือของไทยได้รับการสนับสนุนจากระดับหนี้ของรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 30 ของ GDP ณ สิ้นปี 2555) Fitch คาดว่า งบประมาณจะยังคงสอดคล้องกับระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในภาพรวมที่ยังคงอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ถึงแม้รัฐบาลมีแผนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
- รัฐบาลมีความคืบหน้าที่จับต้องได้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล โดยอายุคงเหลือ
เฉลี่ยของหนี้รัฐบาล (Average maturity) และอายุเฉลี่ยของหนี้รัฐบาล (Duration) ได้เพิ่มขึ้นจาก 5.7 ปี และ 4.8 ปี ตามลำดับ ในปี 2551 เป็น 7.9 ปี และ 5.4 ปี ตามลำดับ ในปี 2555 สัดส่วนหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของรัฐบาลได้ลดลงจากร้อยละ 20 ของหนี้รัฐบาลทั้งหมดในปี 2543 เหลือเพียงร้อยละ 1.5 ในปี 2555
- ในขณะที่ความสามารถทางการคลังในการชำระหนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง แต่จากการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการเพิ่มขึ้นของภาระผูกพันจากหนี้ของภาครัฐในภาพรวม ส่งผลให้ไม่มีการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลสกุลเงินบาทในครั้งนี้ ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลบาทและสกุลเงินต่างประเทศแคบลง 1 Notch
- ข้อจำกัดเบื้องต้นของผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ ได้แก่ ระดับรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอันสะท้อนถึงผลิตภาพในการผลิตที่ต่ำและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มน้อย หนี้ของภาคเอกชนโดยเปรียบเทียบอยู่ในระดับสูง และความตึงเครียดทางสังคมและการเมืองที่ลดลงแต่ยังคงดำรงอยู่
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความน่าเชื่อถือ
ปัจจัยหลักที่อาจนำไปสู่การปรับเพิ่มความน่าเชื่อถือ ได้แก่
- การเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลจะช่วยลดช่องว่างด้านรายได้และการพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม A อย่างไรก็ดี Fitch คาดว่า แรงผลักดันที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหลังจาก 2 ปีผ่านไปโดยเฉลี่ย
- ความมีเสถียรภาพและการลดลงของสัดส่วนหนี้สาธารณะที่รวดเร็วกว่าที่ Fitch คาดการณ์ไว้
ในปัจจุบัน อันนำไปสู่ฐานะของประเทศที่เข้มแข็งขึ้น
ปัจจัยหลักที่อาจนำไปสู่การปรับลดความน่าเชื่อถือ ได้แก่
- สัญญาณที่แสดงว่าเศรษฐกิจมีความร้อนแรงเกินไป อาทิ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง การเจริญเติบโตของสินเชื่อ และ/หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) โดยไม่มีนโยบายที่เหมาะสมรองรับ ที่ทำให้ Fitch จะต้องทำการประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาคและกรอบนโยบายการเงินโดยเฉพาะ
- ความตึงเครียดทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นอีกในระดับที่รุนแรงจนก่อให้เกิดผลกระทบ
ที่มีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย
สมมติฐานหลัก
ความน่าเชื่อถือและมุมมองอันดับความน่าเชื่อถืออ่อนไหวต่อสมมติฐานหลายประการ การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานว่า รัฐบาลไทยยังคงดำรงทิศทางการบริหารประเทศโดยการมีส่วนร่วมกับเศรษฐกิจโลก Fitch ตั้งสมมติฐานว่า ผู้รับผิดชอบด้านนโยบายจะรักษากรอบนโยบายอันก่อให้เกิดการเจริญเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาวมากกว่าจะดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตในระยะสั้นซึ่งมีต้นทุนคือความผันผวนทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานว่าประเทศไทยจะไม่ถูกกระทบโดยเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางเศรษฐกิจและการเงินที่รุนแรงเพียงพอที่จะก่อให้เกิดการหดตัวอย่างมีนัยสำคัญของ GDP และกระตุ้นให้เกิดความตึงตัวในระบบการเงิน Fitch มีสมมติฐานว่า ไม่มีความเสี่ยงอย่างรุนแรงของเสถียรภาพทางการเงินโลกที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ที่มีเศรษฐกิจเปิดอย่างประเทศไทย อาทิ การแยกตัวของประเทศในกลุ่มยูโรโซนหรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในประเทศจีน
Fitch มีสมมติฐานว่า ความตึงเครียดระหว่างประเทศในภูมิภาคจะไม่เร่งตัวขึ้น ซึ่งรวมถึงข้อพิพาทด้านพรมแดนของไทยกับกัมพูชา และความขัดแย้งทางดินแดนระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่มีอยู่ในขณะนี้
ส่วนวิจัยนโยบายหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505, 5522
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 22/2556 8 มีนาคม 2556--