ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 16 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting) กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 16 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นก่อนการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 46 โดยมีนายพีฮิน ดาโต๊ะ รามัน อิบราฮิม (Pehin Dato Rahman Ibrahim) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่ 2 ของบรูไน และนายจู กวงเหยา (Zhu Guangyao) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วมการประชุม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ที่ประชุมได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค และเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยเห็นว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน+3 จะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในปี 2556 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับแรงสนับสนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ สถาบันการเงิน และระบบการเงิน ตลอดจนการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 ยังจะต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพคล่องทางการเงินของโลกที่มีอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ ปัญหาฟองสบู่ และความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน เพื่อรักษาอัตราการเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
2. ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการแก้ไขความตกลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 หรือมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ตามมติที่ประชุมฯ เมื่อปีที่แล้ว ที่กำหนดให้ (1) เพิ่มขนาดของ CMIM เป็น 2 เท่า จากเดิม 120 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2) เพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF Delinked Portion) เพื่อลดการพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ในยามวิกฤต และ (3) การจัดตั้งกลไกให้ความช่วยเหลือช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis Prevention Facility) เพื่อป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นและป้องกันการลุกลามไปยังของประเทศสมาชิกอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งภายหลังจากนี้ ประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อเข้าร่วมลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขนี้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 นี้
3. ที่ประชุมเห็นชอบให้ยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ โดยให้มีสถานะความสำคัญ และได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เท่าเทียมกับองค์การระหว่างประเทศทางการเงินอื่นๆ เช่น IMF และธนาคารพัฒนาเอเชีย ทั้งนี้ AMRO จะเป็นองค์การการเงินระหว่างประเทศองค์การแรกที่จัดตั้งโดยอาเซียน+3 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบทบาทของ AMRO ในการวิเคราะห์สถานการณ์และระวังภัยทางเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียน+3 ในเวทีโลก
4. ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเซีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 ให้มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแหล่งระดมเงินทุนและเป็นทางเลือกในการออมของภูมิภาค โดยมีประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ความสำเร็จของกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุน (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งบริษัทเอกชนที่ CGIF ให้การค้ำประกันเครดิตในการออกพันธบัตรได้ออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2556 โดยมีมูลค่า 2,850 ล้านบาทหรือประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือในการพัฒนาตลาดพันธบัตรของภูมิภาคอาเซียน+3 2) การให้ความเห็นการศึกษาความเป็นไปได้เรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Fostering Infrastructure Financing Bonds Development) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ซึ่งนายกิตติรัตน์ฯ ได้กล่าวสนับสนุนการศึกษาดังกล่าว โดยเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของภูมิภาค และในขณะนี้อาเซียน+3 มีเงินออมในภูมิภาคเป็นจำนวนมาก จึงควรมีการหาแนวทางในการนำเงินออมเหล่านั้นมาลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิก
5. ที่ประชุมได้รับทราบผลการศึกษาของคณะ Research Group ประจำปี 2012-2013 ได้แก่ เรื่องการพัฒนาโครงสร้างและเสริมสร้างประสิทธิภาพของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือของภูมิภาคอาเซียน+3 และให้ความเห็นชอบหัวข้อการศึกษาของ Research Group ประจำปี 2013-2014 ได้แก่ 1) การศึกษาเพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาตลาดการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (The Policy Recommendations for the Expansion of the Securitization Market in the ASEAN+3 Countries) และ 2) การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของโครงสร้างตลาดทุนอาเซียน+3 (SWOT Analysis on Capital Market Infrastructure in ASEAN+3)
6. ที่ประชุมได้รับทราบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือใหม่ 3 ด้านของอาเซียน+3 เพื่อขยายขอบข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคในอนาคต ได้แก่ (1) ความร่วมมือทางการเงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค (2) การใช้เงินสกุลของภูมิภาค (Regional Currencies) สำหรับ การค้าขายและการลงทุนในภูมิภาค และ (3) การจัดตั้งกลไก/กองทุนการประกันภัยที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Disaster Insurance Scheme) ทั้งนี้ คาดว่าจะมีข้อสรุปนโยบายความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องดังกล่าวได้ภายในปีนี้
7. การประชุม AFMGM+3 ครั้งต่อไป ในปี 2014 จะจัดขึ้น ณ กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน โดยมีประเทศพม่าและประเทศญี่ปุ่น ทำหน้าที่เป็นประธานร่วม
ภายหลังจากการประชุม AFMGM+3 นายกิตติรัตน์ฯ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีนายทาโร อาโซะ (Mr. Taro Aso) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเป็นประธานการประชุม โดยการประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ของอาเซียน-ญี่ปุ่นครบรอบ 40 ปี ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะสานต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
อนึ่งในวันดังกล่าว นายกิตติรัตน์ฯ ได้หารือทวิภาคีกับ 1) ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้ามามีส่วนร่วมของสำนักงานฯ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยโดยเฉพาะด้านระบบรถไฟที่จะพัฒนาภายใต้ “ไทยแลนด์ 2020” และ 2) ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ไดวะ (Daiwa Securities) โดยหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับไทยและแนวทางการร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3614
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 48/2556 6 พฤษภาคม 2556--