นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Standard and Poor’s (S&P’s) ว่า S&P’s ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินตราต่างประเทศ (Long-term/Short-term Foreign Currency Rating) ที่ระดับ BBB+/A-2 และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินบาท (Long-term/Short-term Local Currency Rating) ที่ระดับ A-/A-2 รวมทั้งได้ยืนยันแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) นอกจากนี้ ยังยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบน ASEAN Regional Scale ระยะยาวที่ axAA และระยะสั้นที่ axA-1 ตามลำดับ และการประเมินการเคลื่อนย้ายและความคล่องตัวในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ1 ยังอยู่ในระดับ A ดังรายละเอียดสรุปตามตารางต่อไปนี้
ตารางแสดงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย S&P’s ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2556
อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย S&P’s สถานะ Outlook
อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของรัฐบาล
ระยะยาว (Long-term Foreign Currency Rating) BBB+ Stable ระยะสั้น (Short-term Foreign Currency Rating) A-2 -
อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทของรัฐบาล
ระยะยาว (Long-term Local Currency Rating) A- Stable ระยะสั้น (Short-term Local Currency Rating) A-2 -
หลักการและเหตุผล
สถานะภาคต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง หนี้รัฐบาลที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และประวัติการดำเนินนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีอย่างต่อเนื่องและการที่เศรษฐกิจมีรายได้ต่ำโดยเปรียบเทียบเป็นข้อจำกัดต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
โดยปัจจัยที่ยังคงเป็นจุดแข็งของอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ได้แก่ สถานะการลงทุนระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งของไทยและสภาพคล่องที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่เพียงพอ การเกินดุลการชำระเงินเป็นเวลานานทำให้มีทุนสำรองสำหรับรองรับดุลบัญชีเดินสะพัดได้ 7.5 เดือน และแม้ว่า S&P’s คาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเล็กน้อยในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า แต่จะสามารถชดเชยการขาดดุลดังกล่าวได้โดยอาศัยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดทุน ทำให้หนี้ต่างประเทศที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ภาระหนี้ต่างประเทศสุทธิอยู่ในระดับปานกลางที่ร้อยละ 26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งเกือบร้อยละ 70 มาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการลงทุนในหลักทรัพย์ และประเทศไทยอยู่ในฐานะเจ้าหนี้สุทธิในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ของรายรับบัญชีเดินสะพัดตามนิยามหนี้ต่างประเทศสุทธิอย่างแคบ
การเกินดุลขั้นต้นของรัฐบาลช่วยรักษาระดับหนี้ของรัฐบาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในขณะที่การดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่เป็นผลจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางเศรษฐกิจทำให้หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น S&P’s ยังคาดว่า หนี้ของรัฐบาลสุทธิจะยังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลที่ประมาณร้อยละ 26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลที่คิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของรายได้ของรัฐบาลกลางได้ก่อให้เกิดภาระเพียงเล็กน้อยต่อการคลังภาครัฐ
อัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพเป็นเสาหลักที่สำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยอัตราเงินเฟ้อของประเทศเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าร้อยละ 3 ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เสถียรภาพทางด้านราคาและการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวช่วยรักษาความสามารถทางการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ การเติบโตของสินเชื่ออยู่ในระดับปานกลาง โดยสินเชื่อภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 130 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2556 จากร้อยละ 102 ในปี 25502
S&P’s คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของไทยในปี 2556 ไว้ที่ 6,200 เหรียญสหรัฐ ซึ่งระดับรายได้นี้นับเป็นข้อจำกัดของความน่าเชื่อถือของประเทศเช่นเดียวกับตัวชี้วัดทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข และการศึกษาที่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า
ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นจุดอ่อนหลักของความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งตั้งแต่ปี 2549 ทำให้การปฏิรูปโครงสร้างต้องล่าช้าออกไป รวมทั้งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ความไม่แน่นอนดังกล่าวเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่การชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
S&P’s ประเมินความสามารถและความตั้งใจในการชำระหนี้สกุลเงินบาทของประเทศไทยสูงกว่าสกุลเงินตราต่างประเทศ 1 ระดับ ที่ระดับ A- ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวของประเทศไทยสนับสนุนต่อความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ และความลึกของตลาดทุนในประเทศช่วยอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ความมั่นคงของสถานะการคลังช่วยให้มีช่องทางในการตอบสนองเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่คาดคิดได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือ
แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ
แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของภาคต่างประเทศ ภาคการคลัง และภาคการเงินภายใต้เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบันไว้ได้ใน 2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี S&P’s อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ถ้าความสามารถในการปกครองประเทศ (เสถียรภาพทางด้านการเมืองและสถาบัน) ถดถอยลงไปมากกว่าที่ S&P’s สังเกตการณ์ไว้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา หรือหากตัวชี้วัดทางด้านเศรษฐกิจหรือการคลังอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน หากผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขี้น S&P’s เชื่อว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นและส่งผลให้สถานะความน่าเชื่อถือของประเทศแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
หมายเหตุ:
1 การประเมินจะสะท้อนถึงแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นไปตามหลักกลไกตลาดและความเปิดของเศรษฐกิจไทยต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยระดับ A สะท้อนว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะออกมาตรการจำกัดการเข้าถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราของผู้ออกตราสารหนี้ที่ไม่ใช่รัฐบาลและมีฐานอยู่ในประเทศไทยน้อยกว่าความเป็นไปได้ที่รัฐบาลไทยจะผิดนัดชำระหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศ
2 S&P’s ใช้ตัวเลขสินเชื่อภาคเอกชนจากฐานข้อมูล International Financial Statistics : IFS แต่ตัวเลขจากการประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างร้อยละ 80 -120 ขึ้นอยู่กับความกว้างของนิยาม
ส่วนวิจัยนโยบายหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505, 5518
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 1/57 3 มกราคม 2557--