การยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Fitch Ratings

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 12, 2014 09:31 —กระทรวงการคลัง

นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) ที่ Fitch ได้ประกาศเมื่อเวลา 18.00 น. (เวลาประเทศไทย) ของวันที่ 6 มีนาคม 2557 ว่า Fitch ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินบาทของรัฐบาล (Foreign and Local Currency Long-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ BBB+ และ A- ตามลำดับ โดยมีมุมมองที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) รวมทั้งยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิ์สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาท (Senior Unsecured Foreign and Local Currency Bonds) ที่ระดับ BBB+ และ A- ตามลำดับ พร้อมทั้งยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล (Foreign Currency Short-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ F2 และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ A- ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557

อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch Ratings                        สถานะ      Outlook
อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล
ระยะยาว (Foreign Currency Long-Term IDR)                            BBB+         Stable
ระยะสั้น (Foreign Currency Short-Term IDR)                             F2               -
อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทของรัฐบาล
ระยะยาว (Local Currency Long-Term IDR)                                A-         Stable
เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling)                       A-              -

ปัจจัยหลักที่มีผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ

การยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือและแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของ Fitch ในครั้งนี้ สะท้อนปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ประเทศไทยมีสถานะภาคต่างประเทศที่แข็งแกร่งและกรอบนโยบายทางการเงินที่มั่นคงในขณะเดียวกันตัวชี้วัดหลักด้านการคลังภาครัฐอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน ปัจจัยที่แข็งแกร่งเหล่านี้ได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนที่เกิดจากการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐและความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศที่ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2556
  • อย่างไรก็ดี แนวโน้มด้านการเมืองในระยะใกล้ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยความตึงเครียดทางการเมืองที่ยืดเยื้อและเข้มข้นขึ้นอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้การชะลอตัวของเศรษฐกิจยาวนานขึ้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งในที่สุดอาจจะสร้างแรงกดดันต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
  • ในปี 2556 ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเปรียบเทียบ ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก อย่างไรก็ดี ความไม่สงบทางการเมืองกำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดย Fitch คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงของไทยจะเติบโตที่ร้อยละ 2.5 และ 3.7 ในปี 2557 และ 2558 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการเติบโตที่ร้อยละ 2.9 ในปี 2556 และอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย 5 ปี ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ BBB และ A ที่อยู่ที่ร้อยละ 3.2 และ 3.3 ตามลำดับ ทั้งนี้ การชะลอตัวลงของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนในที่สุดอาจจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในทางกลับกัน มาตรการต่างๆ ที่สนับสนุนศักยภาพในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับความน่าเชื่อถือของไทย
  • ภาคการคลังของไทยเกือบทั้งหมดยังคงมีเสถียรภาพ โดยสัดส่วนหนี้ของรัฐบาลต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 31.9 ณ สิ้นปีงบประมาณ 2556 ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ BBB และ A ที่อยู่ที่ร้อยละ 40 และ 53 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง Fitch เห็นว่า ในระยะสั้นนี้ ความผันผวนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นได้จำกัดอำนาจรัฐบาลรักษาการในการดำเนินการตามแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ ซึ่งจะหักกลบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่อาจลดลง รวมถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านรายได้และรายจ่าย อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้ออาจทำให้ความน่าเชื่อถืออ่อนแอลงหากประเทศไทยไม่สามารถผลักดันมาตการและการปฏิรูปเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตได้สำเร็จ
  • Fitch ประมาณการฐานะการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิของไทยไว้ที่ร้อยละ 38 ของ GDP ณ สิ้นปี 2556 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ BBB และ A ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ -11 และ 18 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิที่เข้มแข็งได้ช่วยลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศและแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศหรือภาวะความเสี่ยงของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น
  • Fitch เชื่อว่า ภาคธนาคารของประเทศไทยแข็งแรงเพียงพอที่จะเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อภาคเอกชนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 151.7 ในไตรมาส 3 ของปี 2556 ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และนับเป็นจุดอ่อนของความน่าเชื่อถือของประเทศ เนื่องจากรัฐอาจต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาระผูกพันที่อาจจะก่อให้เกิดหนี้ในอนาคตขึ้นหากต้องให้ความช่วยเหลือแก่ภาคธนาคารในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจนลดความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน

ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ

แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยได้รับการยืนยันในระดับที่มีเสถียรภาพ ดังนั้น ในการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของอันดับความน่าเชื่อถือของ Fitch จึงไม่ได้คาดว่าจะมีพัฒนาการของเหตุการณ์สำคัญที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือในระยะนี้ ทั้งนี้ Fitch ได้ชี้แจงปัจจัยที่อาจมีผลต่อการปรับเพิ่ม/ลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต ดังนี้

พัฒนาการในอนาคตที่จะส่งผลในเชิงลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ

  • การขาดรัฐบาลที่มีอำนาจในการบริหารงานอย่างแท้จริงจนก่อให้เกิดความอ่อนแอในการกำหนดกรอบนโยบายทางเศรษฐกิจ
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจตึงเครียดและยืดเยื้อยาวนานขึ้นจนบั่นทอนแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลาง
  • การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของระดับหนี้สาธารณะของไทย โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้น

ของภาระผูกพันที่อาจก่อให้เกิดหนี้ในอนาคต

พัฒนาการในอนาคตที่จะส่งผลในเชิงบวกต่ออันดับความน่าเชื่อถือ

  • การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยไม่ก่อเกิดความไม่สมดุลในด้านต่างๆ ขึ้น รวมถึงการลดช่องว่างทางด้านรายได้ให้เข้าสู่ระดับเดียวกับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ A อาจส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ
  • สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เข้าสู่เสถียรภาพได้รวดเร็วกว่าที่ Fitch คาดการณ์ไว้

สมมติฐานหลักในการวิเคราะห์

Fitch มีสมมติฐานว่า ความตึงเครียดระหว่างประเทศในภูมิภาคซึ่งรวมถึงข้อพิพาทด้านพรมแดนของไทยกับกัมพูชา และความขัดแย้งทางดินแดนระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ยังคงดำเนินอยู่จะยังไม่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงของโลกจะเติบโตที่ร้อยละ 2.9 และ 3.2 ในปี 2557 และ 2558 เมื่อเทียบกับประมาณการอัตราการเจริญเติบโตที่ร้อยละ 2.3 ในปี 2556

ส่วนวิจัยนโยบายหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505, 5522

--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 15/57 11 มีนาคม 2557--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ