รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2557

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2557

1. พาณิชย์หารือเวียดนามร่วมมือค้าข้าว

2. ซีไอเอ็มบีไทย คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 58 ขยายตัวร้อยละ 3.3

3. พอล ครุกแมน มองดอกเบี้ยยังไม่ขึ้นในปีหน้า

• รมช. พาณิชย์ เปิดเผยว่ากระทรวงพาณิชย์เตรียมหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ในการฟื้นความร่วมมือด้านการค้าข้าว หลังจากก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ประเทศซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกัน แต่ได้ชะลอการหารือมานาน เบื้องต้นไทยต้องการร่วมกันเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและการบริหารจัดการด้านการตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก และลดการแข่งขันการตัดราคาเพื่อแย่งตลาดกันเอง
• สศค. วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ การส่งออกข้าวไทยในเดือน ต.ค. 57 มีมูลค่าอยู่ที่ 594.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ร้อยละ 34.7 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการระบายปริมาณสต๊อกข้าว และส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 57 การส่งออกข้าวไทยขยายตัวร้อยละ 19.1 โดยตลาดส่งออกข้าวที่ขยายตัว ได้แก่ เบนิน ไนจีเรีย และจีน โดยการขยายตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากปริมาณเป็นสำคัญ ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ในตลาดโลกยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในช่วง10 เดือนแรกของปียังคงหดตัวที่ร้อยละ -20.3 ทั้งนี้ นโยบายการร่วมมือดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อการส่งออกข้าว เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองของผู้ขายมากขึ้น และผลักดันให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้

• นาย อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่าธนาคารฯ ได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 58 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ 3.0 -3.5 จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของการลงทุนภาครัฐ ประกอบกับแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน จากการถดถอย ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งให้ภาคการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้า
• สศค. วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 58 จะขยายตัวร้อยละ 4.1 ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.6-4.6 (ประมาณการ ณ เดือน ต.ค. 57) ปรับตัวดีขึ้นจากปี 57 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 -1.7 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ทำให้คาดว่าจะส่งผลให้อุปสงค์ ในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน กลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาทางการเมืองที่คลี่คลาย ในขณะที่การส่งออกสินค้าจะมีการฟื้นตัวแบบลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง

• พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน แสดงความคิดเห็นต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed Fund Rate ว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการปรับขึ้นภายในปีหน้า โดยครุกแมนให้เหตุผลว่าความตกต่ำของราคาน้ำมันในปัจจุบันเป็นสาเหตุสำคัญของการกดดันเงินเฟ้อ ประกอบกับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนและยุโรปที่ยังอยู่ในสภาวะซบเซา ทำให้ความเสี่ยงที่เกิดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปมีสูง
• สศค. วิเคราะห์ว่า ความคิดเห็นของครุกแมนถือเป็นเสียงส่วนน้อยในวงการนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่า Fed Fund Rate ควรมีการปรับขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างนายสแตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ และนายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานธนาคารกลางนิวยอร์คที่มีความเห็นสอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำจะเป็นการสะสมความเสี่ยงในภาคการเงินครั้งใหม่ อีกทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ก็สามารถฟื้นตัวได้แข็งแรงพอที่จะรองรับต้นทุนทางการเงินที่แพงขึ้นได้ สศค. มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ Fed Fund Rate จะมีการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้านี้ และยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นเร็วขึ้นหากสัญญาณทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีหน้า สามารถยืนยันทิศทางเศรษฐกิจขาขึ้นได้อย่างชัดเจน

ที่มา: Bureau of Macroeconomic Policy,Fiscal Policy Office, Ministry of Finance

Tel: 02-273-9020 Ext. 3257