ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2557 มีจำนวน 5,640,578.26 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 46.50 ของ GDP โดยเป็นหนี้ของรัฐบาล 3,953,816.70 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,083,993.76 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 592,319.60 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 10,448.20 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 50,235.85 ล้านบาท โดยหนี้ของรัฐบาล หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ ลดลง 11,638.32 ล้านบาท 3,400.12 ล้านบาท 34,188.59 ล้านบาท และ 1,008.82 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ รายละเอียดและสัดส่วนของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2557
1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 11,634.95 ล้านบาท เนื่องจาก
1.1.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 291.75 ล้านบาท โดยผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 49.91 ล้านบาท ในขณะที่การเบิกจ่ายและชำระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นสุทธิ 241.84 ล้านบาท ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในรูปเงินบาท หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงจำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ หลังจากที่ทำการป้องกัน ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว
1.1.2 หนี้ในประเทศ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 11,926.70 ล้านบาท โดยมีรายการสำคัญเกิดจาก
- เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ลดลง 14,650 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของตั๋วเงินคลังสุทธิ 30,500 ล้านบาท
การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล 15,850 ล้านบาท
- การเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน 493 ล้านบาท จากสัญญาเงินกู้วงเงิน 15,393 ล้านบาท ที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ภายใต้ พ.ร.ก. บริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศฯ
- การเบิกจ่ายเงินให้กู้ต่อ เพิ่มขึ้น 2,746.97 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย วงเงิน 2,300.43 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง จำนวน 994.99 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จำนวน 745.58 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวน 559.86 ล้านบาท
การรถไฟแห่งประเทศไทย วงเงิน 446.54 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย 8 สายทาง จำนวน 404.56 ล้านบาท และเพื่อจัดทำโครงการรถไฟสายสีแดง จำนวน 41.98 ล้านบาท
- การชำระต้นเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน 516.67 ล้านบาท
1.2 หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 3.37 ล้านบาท เกิดจากการชำระหนี้ภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูระยะที่สองฯ (FIDF 3) โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 1 ที่ได้รับจากการโอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์
1.3 หนี้เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า
2.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
2.1.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 254.19 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทลดลง 3.99 ล้านบาท ประกอบกับการเบิกจ่ายและชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างในสกุลเงินบาทลดลง 250.20 ล้านบาท
2.1.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง จำนวน 138.52 ล้านบาท เนื่องจาก
- การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไถ่ถอนพันธบัตร 1,000 ล้านบาท
- การประปาส่วนภูมิภาคออกพันธบัตร 400 ล้านบาท
- รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 461.48 ล้านบาท โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 915 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 453.52 ล้านบาท
2.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน
2.2.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 318.78 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 150.86 ล้านบาท ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดซื้อเครื่องบิน A 320-200 เป็นเงินจำนวน 34 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1,110.35 ล้านบาท และชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างในสกุลเงินบาทเพิ่มขึ้น 167.92 ล้านบาท
2.2.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง 3,326.19 ล้านบาท เนื่องจาก
- บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไถ่ถอนหุ้นกู้ 3,000 ล้านบาท
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไถ่ถอนพันธบัตร 93 ล้านบาท
- การประปาส่วนภูมิภาคออกพันธบัตร 600 ล้านบาท
- รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ น้อยกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 833.19 ล้านบาท โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 3,311.14 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 4,144.33 ล้านบาท
3.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 1.37 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 1.37 ล้านบาท ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 5
3.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง 34,189.96 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไถ่ถอนพันธบัตร 17,500 ล้านบาท และได้เบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ น้อยกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 16,689.96 ล้านบาท โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 3,925.98 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 20,615.94 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากพิจารณาในรูปเงินบาท หนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) หลังทำการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน จำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ
หนี้หน่วยงานอื่นของรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง จำนวน 1,008.82 ล้านบาท เนื่องจากหน่วยงานอื่นของรัฐได้เบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ น้อยกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 3.06 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 1,011.88 ล้านบาท
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2557 มีจำนวน 5,640,578.26 ล้านบาท ซึ่งหากแบ่งประเภทหนี้สาธารณะคงค้างเป็นหนี้ต่างประเทศ-หนี้ในประเทศ และหนี้ระยะยาว-หนี้ระยะสั้น มีรายละเอียด ดังนี้
หนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ หนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน 5,640,578.26 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ต่างประเทศ 358,535.41 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.36 และหนี้ในประเทศ 5,282,042.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.64 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุของเครื่องมือการกู้เงิน) หนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน 5,640,578.26 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,529,992.60 ล้านบาท หรือร้อยละ 98.04 และหนี้ระยะสั้น 110,585.66 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.96 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
- หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุคงเหลือ) หนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน 5,640,578.26 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 4,883,374.67 ล้านบาท หรือร้อยละ 86.58 และหนี้ระยะสั้น 757,203.59 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.42 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ส่วนวิจัยนโยบายหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5512,5522
--กระทรวงการคลัง--