Macro Morning Focus ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2558
Summary:
1. รถเมล์-รถไฟฟรีแบบใหม่ดีเดย์ 1 พ.ย.
2. พาณิชย์แนะช่องทางส่งออกผลไม้ไปซาอุ
3. ราคาน้ำมันกลับเข้าภาวะตลาดหมี
1. รถเมล์-รถไฟฟรีแบบใหม่ดีเดย์ 1 พ.ย.
- รองปลัดคมนาคม เปิดเผยว่าได้มีการเตรียมเสนอโครงการรถเมล์ฟรีรถไฟฟรีใหม่ ซึ่งมาตรการที่ได้ศึกษาก่อนหน้าที่ให้กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทหารผ่านศึก พระภิกษุ แม่ชี และนักเรียนอายุไม่เกิน 14 ปี ได้รับสิทธิขึ้นรถเมล์รถไฟฟรีนั้น จะสามารถลดภาระของรัฐบาลได้เพียงร้อยละ 24 ของมาตรการเดิมเท่านั้น สำหรับในมาตรการใหม่ กำหนดให้กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทหารผ่านศึก พระภิกษุ และแม่ชี ได้รับสิทธิลดค่าโดยสารครึ่งราคา เช่นเดียวกับผู้มีรายได้น้อย (ผู้มีรายได้ไม่เกิน 3,632 บาท) ขณะที่นักเรียนไม่เกินระดับชั้น ม.3 ได้รับสิทธิ์ให้จ่ายค่าโดยสาร 1 ใน 3 ส่วนนักเรียนที่ศึกษาสูงกว่าชั้น ม.3 จะต้องจ่ายค่าโดยสาร 2 ใน 3 ชองราคาเต็ม ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะลดภาระงบประมาณน้อยลงถึงร้อยละ 64 โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในวันที่ 1 พ.ย. นี้
- สศค. วิเคราะห์ว่า มาตรการรถเมล์และรถไฟฟรีได้มีการริเริ่มเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 51 โดยมีเป้าหมายในการลดค่าครองชีพของประชาชน เนื่องจากในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 51 สูงถึง ร้อยละ 5.5 อย่างไรก็ดี ในปีต่อๆมา แม้สถานการณ์ด้านภาวะเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มาตรการดังกล่าวก็ยังได้รับการต่ออายุมาจนถึงปัจจุบัน โดยมาตรการนี้ได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นการเพิ่มภาระของรัฐเกินความจำเป็น เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อีกทั้งยังเป็นนโยบายแบบเหมารวม ไม่เพียงแต่คนที่มีรายได้น้อยเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ คนที่มีรายได้มากรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย นับเป็นการใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหาอย่างไม่ตรงจุด จึงนำมาซึ่งการเปลียนแปลงเงื่อนไขของมาตรการให้ตรงเป้าหมายมากขึ้นตามข่าวข้างต้น โดยคาดว่านโยบายใหม่ที่จะมีการใช้ในเดือน พ.ย. จะสามารถลดภาระงบที่เกินความจำเป็นของรัฐได้ โดยอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในหมวดค่าโดยสารซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 2.2 ในตะกร้าเงินเฟ้อ
2. พาณิชย์แนะช่องทางส่งออกผลไม้ไปซาอุ
- นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเจาะตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไทยว่า ในแต่ละปีซาอุดิอาระเบียนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จากสถิติการนำเข้าในปี 56 นำเข้าสินค้ากลุ่มผลไม้และถั่ว ทั้งสิ้น 1.65 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1,202 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกปี
- สศค.วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่า ในปี 57 ไทยมีการส่งออกผลไม้สดไปประเทศซาอุดิอาระเบีย มูลค่า 1.98 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 56 ที่ส่งออกมีมูลค่า 1.38 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 43.5 สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในหมวดไม้ผล ในปี 57 ที่ขยายตัวได้ร้อยละ 6.0 โดยเป็นการขยายตัวของสินค้าเกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดซาอุดิอาระเบีย อาทิ มะม่วง ทุเรียน มังคุด เงาะ และลำไย ทั้งนี้ หากในปี 58 เกษตรกรชาวไร่ผลไม้ และธรุกิจส่งออกสินค้าเกษตรกรรม สามารถเพิ่มตลาดซาอุดิอาระเบียเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หลังจากไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกซบเซา กอปรกับปัญหาราคาสินค้าเกษตรส่งออกหลักของไทย อาทิ ข้าว และยางพารา มีราคาตกต่ำ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง การส่งออกผลไม้ไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น ซาอุดิอาระเบียที่มีกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่จากแรงงานชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ที่คุ้นเคยกับผลไม้ของไทยเป็นอย่างดี อาจเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคการส่งออก และรายได้เกษตรกรปรับตัวดีขึ้นได้
3. ราคาน้ำมันกลับเข้าภาวะตลาดหมี
- ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้ลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมามากกว่าร้อยละ 20.0 นับเป็นการเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear market) ตามนิยามอย่างเป็นทางการ เนื่องจากปัจจัยด้านอุปทานที่กดดันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อมูลล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจากสหรัฐฯ ที่อุปทานคงคลังปรับเพิ่มขึ้น 2.47 ล้านบาร์เรลเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์จากผลสำรวจของบลูมเบิร์กที่มองว่าอุปทานจะปรับลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล การเพิ่มขึ้นดังกล่าวทำให้ยอดรวมของอุปทานสหรัฐฯ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 463.9 ล้านบาร์เรล สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีถึงกว่า 100 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
- สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจัยลบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรากฎให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยใหม่ ได้แก่ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนซึ่งยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม แนวโน้มและความไม่แน่นอนดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ ในด้านการผลิต อุปทานจากผู้เล่นหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ และกลุ่มโอเปก ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้บรรยากาศตลาดที่อุปสงค์อ่อนแรงลง ด้วยเหตุนี้หลายสำนักจึงมีการปรับประมาณการราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ลง อย่างไรก็ดี สศค. ยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบไว้ที่ 60.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุด (ณ วันที่ 23 ก.ค. 58) เฉลี่ยอยู่ที่ 56.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ที่มา: Bureau of Macroeconomic Policy,Fiscal Policy Office, Ministry of Finance
Tel: 02-273-9020 Ext. 3257