หนี้สาธารณะคงค้าง ณ 31 มกราคม 2559 มีจำนวน 5,980,660.67 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.06 ของ GDP และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคมลดลงสุทธิ 24,383.29 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น หนี้ของรัฐบาล จำนวน 4,387,486.67 ล้านบาท ลดลง 22,809.60 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน 1,044,617.03 ล้านบาท ลดลง 431 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน 531,131.18 ล้านบาท ลดลง 1,137.60 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน 17,425.79 ล้านบาท ลดลง 5.09 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หนี้ของรัฐบาล จำนวน 4,387,486.67 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่
- การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 23,941.02 ล้านบาท
- การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 8,862.61 ล้านบาท มีรายการ ดังนี้
1. การกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อ จำนวน 3,562.61 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 1,708.64 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีเขียว การรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 1,818.23 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย 8 สายทาง และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง และกรมทางหลวง จำนวน 35.74 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2)
2. การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ จำนวน 5,300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน:มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 และโครงการเงินกู้ DPL
การชำระหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน 60,636.45 ล้านบาท แบ่งเป็น
- การชำระคืนเงินต้นที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 12,000 ล้านบาท และการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง จำนวน 36,000 ล้านบาท
- การชำระคืนเงินต้นที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 จำนวน 5,091 ล้านบาท
- การชำระคืนต้นเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 93.47 ล้านบาท
- การชำระคืนดอกเบี้ย จำนวน 7,451.98 ล้านบาท แบ่งเป็น ดอกเบี้ยหนี้ในประเทศ จำนวน 7,255.65 ล้านบาท และดอกเบี้ยหนี้ต่างประเทศ จำนวน 196.33 ล้านบาท
การชำระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 6,608.44 ล้านบาท แบ่งเป็นชำระเงินต้น จำนวน 4,082.41 ล้านบาท และชำระดอกเบี้ย จำนวน 2,526.03 ล้านบาท
ผลของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้หนี้ต่างประเทศสกุลต่างๆ ลดลง 143.50 ล้านบาท
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน 1,044,617.03 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดจาก
ผลของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้หนี้ต่างประเทศสกุลต่างๆ ลดลง 1,280.83 ล้านบาท
การเบิกจ่ายมากกว่าการชำระหนี้เงินต้น ทำให้หนี้เพิ่มขึ้น 849.83 ล้านบาท โดยรายการที่สำคัญเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่องปี 2558 จำนวน 1,511 ล้านบาท และการเบิกจ่ายเงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ในการดำเนินการก่อสร้างทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษสายบางพลี–สุขสวัสดิ์ จำนวน 1,900 ล้านบาท
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน 531,131.18 ล้านบาท โดยรายการที่สำคัญเกิดจากการชำระหนี้เงินต้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่กู้มาเพื่อดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร จำนวน 1,051 ล้านบาท
- หนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน 17,425.79 ล้านบาท โดยรายการที่สำคัญเกิดจากการชำระหนี้เงินต้นของสำนักงานธนานุเคราะห์ จำนวน 14.89 ล้านบาท
ในเดือนมกราคม 2559 สบน. มีการบริหารจัดการหนี้รัฐวิสาหกิจ วงเงิน 15,170 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาเงินกู้ให้แก่การประปาส่วนภูมิภาค เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 170 ล้านบาท การปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 10,000 และ 5,000 ล้านบาท ตามลำดับ
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2559 เท่ากับ 5,980,660.67 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ในประเทศ 5,630,311.25 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.14 และหนี้ต่างประเทศ 350,349.42 ล้านบาท (ประมาณ 9,999.16 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.86 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และแบ่งเป็นหนี้ระยะยาว 5,689,950.19 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.14 และหนี้ระยะสั้น 290,710.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.86 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
คณะโฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505 5512 และ 5520
เอกสารแนบ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2559 ดังนี้
ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มกราคม 2559 มีจำนวน 5,980,660.67 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.06 ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 24,383.29 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. หนี้ของรัฐบาล 4,387,486.67 ล้านบาท ลดลง 22,809.60 ล้านบาท
2. หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,044,617.03 ล้านบาท ลดลง 431 ล้านบาท
3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 531,131.18 ล้านบาท ลดลง 1,137.60 ล้านบาท
4. หนี้หน่วยงานของรัฐ 17,425.79 ล้านบาท ลดลง 5.09 ล้านบาท
ทั้งนี้ สัดส่วนและรายละเอียดของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2559
1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง 18,727.19 ล้านบาท เนื่องจาก
1.1.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 3,274.40 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการเบิกจ่าย
และการชำระคืนหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินเยน ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นสุทธิ 3,417.90 ล้านบาท ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทลดลง 143.50 ล้านบาท
หากพิจารณาในรูปเงินบาท หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงจำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ หลังจากที่ทำการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
1.1.2 หนี้ในประเทศ ลดลง 22,001.59 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจาก
- การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ลดลงสุทธิ 21,058.98 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 23,941.02 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 20,000 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 3,941.02 ล้านบาท
- การชำระหนี้เงินต้นที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 9,000 ล้านบาท และการลดลงสุทธิของตั๋วเงินคลัง จำนวน 36,000 ล้านบาท
- การชำระหนี้เงินต้นที่กู้มาเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 จำนวน 5,091 ล้านบาท
- เงินกู้ให้กู้ต่อ เพิ่มขึ้น 1,848.39 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
- การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน 1,708.64 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จำนวน 827.70 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวน 880.94 ล้านบาท
- การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อจัดทำโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย 8 สายทาง จำนวน 139.75 ล้านบาท
- การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 2,300 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน:มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 จำนวน 5,000 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายและชำระคืนต้นเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) จำนวน 300 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาท ตามลำดับ
1.2 หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 4,082.41 ล้านบาท จากการชำระหนี้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF 3)
1.3 หนี้เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า
2.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
2.1.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลงสุทธิ 894.24 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชำระคืนหนี้เงินเยน จำนวน 916.73 ล้านบาท ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 22.49 ล้านบาท
2.1.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,076 ล้านบาท เนื่องจาก
- การประปาส่วนภูมิภาคออกพันธบัตร จำนวน 170 ล้านบาท
- การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนด 900 ล้านบาท
- รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 1,956 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 150 ล้านบาท
2.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน
2.2.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 2,009.22 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทลดลง 1,303.32 ล้านบาท ประกอบกับการชำระคืนต้นเงินกู้ของหน่วยงานต่างๆ ที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทลดลง 705.90 ล้านบาท
2.2.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,396.46 ล้านบาท เนื่องจาก
- การบินไทยไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนด 300 ล้านบาท
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนด 125 ล้านบาท
- องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ออกและไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 15 ล้านบาท และ 2.36 ล้านบาท ตามลำดับ
- รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากกว่าชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 1,808.82 ล้านบาท
โดยเป็นการเบิกจ่ายเงินกู้ 2,142.13 ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 333.31 ล้านบาท
3.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลงสุทธิ 86.60 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชำระคืนหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินเยน จำนวน 83.17 ล้านบาท ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทลดลง 3.43 ล้านบาท
3.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง 1,051 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตร
และสหกรณ์การเกษตรชำระคืนต้นเงินตามสัญญาเงินกู้
ทั้งนี้ หากพิจารณาในรูปเงินบาท หนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) หลังทำการบริหารจัดการความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน จำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ มีรายละเอียดปรากฏตามแผนภาพที่ 3
แผนภาพที่ 3 หนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และรัฐวิสาหกิจที่เป็น
สถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ที่บริหารความเสี่ยงและจำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มกราคม 2559 มีจำนวน 5,980,660.67 ล้านบาท ซึ่งสามารถ
แบ่งประเภทเป็นหนี้ต่างประเทศ-หนี้ในประเทศ และหนี้ระยะยาว-หนี้ระยะสั้นได้ ดังนี้
หนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ แบ่งออกเป็น หนี้ต่างประเทศ 350,349.42 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.86 และหนี้ในประเทศ 5,630,311.25 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.14 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุของเครื่องมือการกู้เงิน) แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,689,950.19 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.14 และหนี้ระยะสั้น 290,710.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.86 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
- หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุคงเหลือ) แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,123,773.42 ล้านบาท หรือร้อยละ 85.67 และหนี้ระยะสั้น 856,887.25 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.33 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ส่วนวิจัยนโยบายหนี้สาธารณะ สำนักนโยบายและแผน
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5512 และ 5520
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะขอสรุปผลการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐที่ดำเนินการโดยสำนักงาน บริหารหนี้สาธารณะ ประจำเดือนมกราคม 2559 วงเงินรวม 103,812.84 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 88,642.84 ล้านบาท และหนี้รัฐวิสาหกิจ 15,170 ล้านบาท
1.1 การกู้เงินในประเทศ 31,089.41 ล้านบาท
1.2 การเบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ 1,714.22 ล้านบาท
1.3 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ 21,000 ล้านบาท
1.4 การปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ จำนวน 3,594.32 ล้านบาท
1.5 การชำระหนี้ 31,244.89 ล้านบาท
1.1 การกู้เงินในประเทศ กระทรวงการคลังกู้เงินและเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน 31,089.41 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (โปรดดูตารางที่ 1 ประกอบ)
1.1.1 การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 23,941.02 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 20,000 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 3,941.02 ล้านบาท
1.1.2 การเบิกจ่ายเงินกู้ให้กู้ต่อ จำนวน 1,848.39 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
(1) การให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จำนวน 827.70 ล้านบาท และสายสีเขียว จำนวน 880.94 ล้านบาท
(2) การให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทำโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย 8 สายทาง จำนวน 139.75 ล้านบาท
1.1.3 การเบิกจ่ายเงินกู้บาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ จำนวน 5,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
(1) เงินกู้เพื่อใช้ในโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) จำนวน 300 ล้านบาท
(2) เงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 จำนวน 5,000 ล้านบาท
1.2 การเบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ กระทรวงการคลังได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้จากต่างประเทศ จำนวน 1,714.22 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.2.1 การเบิกจ่ายเงินกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) จำนวน 5,542.68 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 1,678.48 ล้านบาท เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต
1.2.2 การเบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย จำนวน 0.99 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 35.74 ล้านบาท สำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ของกรมทางหลวง
1.3 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ กระทรวงการคลังดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ จำนวน 21,000ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้น โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้
1.4 การปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ กระทรวงการคลังดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้ ECP Programme ที่ให้กู้ยืมต่อแก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยการกู้เงินภายใต้ ECP Programme จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 3,594.32 ล้านบาท
1.5 การชำระหนี้ กระทรวงการคลังได้ชำระหนี้ จำนวน 31,244.89 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.5.1 การชำระหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน 24,636.45 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ชำระเงินต้น จำนวน 17,184.47 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณทั้งจำนวน แบ่งเป็น (1) การชำระหนี้ที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 12,000 ล้านบาท (2) การชำระหนี้ที่อยู่ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 จำนวน 5,091 ล้านบาท (3) การชำระหนี้ต่างประเทศ จำนวน 93.47 ล้านบาท
- ชำระดอกเบี้ย จำนวน 7,451.98 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณทั้งจำนวน แบ่งเป็น (1) การชำระดอกเบี้ยหนี้ในประเทศ จำนวน 7,255.65 ล้านบาท (2) การชำระดอกเบี้ยหนี้ต่างประเทศ จำนวน 196.33 ล้านบาท
1.5.2 การชำระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 6,608.44 ล้านบาท แบ่งเป็น
(1) การชำระหนี้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 (FIDF 1) จำนวน 1,085.09 ล้านบาท โดยเป็นการชำระดอกเบี้ยทั้งจำนวน
(2) การชำระหนี้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF 3) จำนวน 5,523.35 ล้านบาทแบ่งเป็น เงินต้น จำนวน 4,082.41 ล้านบาท และดอกเบี้ย จำนวน 1,440.94 ล้านบาท
2.1 การกู้เงินในประเทศ
รัฐวิสาหกิจมีการกู้เงินในประเทศ จำนวน 170 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินของการประปาส่วนภูมิภาค ในรูปของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. ภูเก็ตและสุราษฎร์ธานี
2.2 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ
รัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ โดยการขยายอายุสัญญาเงินกู้ (Roll Over) วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำการ Roll Over วงเงิน 10,000 ล้านบาท และ 5,000 ล้านบาท ตามลำดับ (โปรดดูตารางที่ 2 ประกอบ)
--กระทรวงการคลัง--