เมื่อวันที่ ๘ - ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการในฐานะผู้แทนพิเศษของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายติน จ่อ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และนางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีประจำสำนักประธานาธิบดีเมียนมา ที่เนปิดอว์
ในการเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีเมียนมาที่ทำเนียบประธานาธิบดี เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๐๐ น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ถ่ายทอดข้อความสารของนายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีต่อการจัดตั้งรัฐบาล การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเมียนมา พร้อมย้ำคำเชิญของนายกรัฐมนตรีให้ประธานาธิบดีเมียนมาเยือนไทย ในขณะที่ประธานาธิบดีเมียนมาถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และฝากความระลึกถึงนายกรัฐมนตรี
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยืนยันความพร้อมของรัฐบาลไทยที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมาอย่างใกล้ชิดในมิติความร่วมมือที่สำคัญ โดยสองฝ่ายเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในหลายรูปแบบ และไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางเลือกหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติ ซึ่งไทยในฐานะประธานกลุ่ม ๗๗ ได้รณรงค์อย่างแข็งขัน รวมทั้งสองฝ่ายได้หารือความร่วมมือลักษณะไตรภาคีเช่นที่ไทยและเมียนมามีกับญี่ปุ่นในโครงการทวาย ซึ่งประธานาธิบดีเมียนมาเห็นควรผลักดันให้โครงการทวายมีความคืบหน้า รวมไปถึงการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาทั้งในด้านอาชีวศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาในรัฐยะไข่ด้วย สองฝ่ายยังได้หารือถึงความเชื่อมโยงระดับประชาชน โดยประธานาธิบดีเมียนมาขอบคุณความช่วยเหลือของไทยต่อการสร้างถนนช่วงต่อจากเชิงเขาตะนาวศรี-กอกะเร็ก การสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ ๒ ข้ามแม่น้ำเมย จ.ตาก – จ.เมียวดีและยินดีกับการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาผ่านทางท่าอากาศยาน อีกทั้งขอบคุณการดูแลแรงงานเมียนมาในไทย และหวังว่านักธุรกิจไทยจะลงทุนในเมียนมาเพิ่มเติม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ขอให้เมียนมาดูแลนักธุรกิจไทยด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและเมียนมาจะมีโอกาสพบหารือครั้งแรกในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน – รัสเซีย ที่เมืองโซชิ กลางเดือนพฤษภาคม ศกนี้
ต่อมาในเวลา ๑๔.๓๐ น. ของวันเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับ นางออง ซาน ซู จี ที่กระทรวงการต่างประเทศเมียนมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำคำเชิญของนายกรัฐมนตรีให้ประธานาธิบดีเมียนมาและนางออง ซาน ซู จี เยือนไทย และมอบหนังสือลงนามของนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนพิเศษ ซึ่งนางออง ซาน ซู จี แสดงความพร้อมที่จะเยือนไทย และยินดีที่ไทยได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่ม ๗๗
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับหลักการเศรษฐกิจพอเพียงโดยนางออง ซาน ซู จี ให้ความสนใจอย่างมากและไต่ถามต่อเนื่องในหลายประเด็นและพร้อมส่งคณะเจ้าหน้าที่เมียนมาเดินทางมาศึกษาดูงานด้านดังกล่าวตามคำเชิญ นอกจากนั้นยังหารือด้านการพัฒนาเยาวชนด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้กล่าวถึงข้อคิดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (JCR) ไทย – เมียนมา เช่นเดียวกับที่ไทยมีกับประเทศเพื่อนบ้าน อื่น ๆ ซึ่งนางออง ซาน ซู จี ขอรับไปหารือแต่ก็พร้อมสนับสนุน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอให้เมียนมาช่วยดูแลภาคเอกชนไทยที่เข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในเมียนมา โดยย้ำว่า พร้อมสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยประกอบธุรกิจตามหลักคุณธรรม และเกิดประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง และแจ้งว่าแรงงานเมียนมาในไทยได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากฝ่ายไทยเท่าเทียมกับแรงงานไทย ซึ่งนางออง ซาน ซู จี แสดงความขอบคุณไทยที่ไทยดูแลแรงงานเมียนมา รวมถึงการดูแลให้การศึกษาแก่ลูกหลานของผู้หนีภัยการสู้รบ โดยเมียนมาพร้อมจะรับกลับผู้หนีภัยการสู้รบ แต่จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในฝั่งเมียนมาก่อน เพื่อให้การเดินทางกลับเป็นไปอย่างยั่งยืน
หลังจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางออง ซาน ซู จี ได้แถลงข่าวร่วมด้วยบรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเอง โดยทั้งสองฝ่ายต่างย้ำถึงความสำคัญของไทยที่มีต่อเมียนมาและที่เมียนมา มีต่อไทย และความสัมพันธ์ที่ผูกพันใกล้ชิดของประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนของทั้งสองฝ่ายด้วยมิตรภาพและความจริงใจต่อไป
การเยือนเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี เป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดี มีมิตรไมตรีที่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า ไทยและเมียนมาให้ความสำคัญต่อกัน และพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบอาเซียนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
--กระทรวงการคลัง--