รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2559

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2559

1. 'สภาพัฒน์' คงเป้าจีดีพีปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.3

2. GDP ไตรมาสแรก ขยายตัวได้ร้อยละ 3.2 ต่อปี

3. แบงก์ชาติจีนอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดอีก 2.5 หมื่นล้านหยวน

• นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสหนึ่งขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากไตรมาสสี่ ปี 2558 อยู่ที่ ร้อยละ 2.8 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี โดย สศช.คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะขยายตัวร้อยละ 3.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคการเกษตร ส่วนปัจจัยเสี่ยงยังคงเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อาจจะขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ การลดลงของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท
• สศค. วิเคราะห์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2559 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0ต3.6) (คาดการณ์ ณ เม.ย. 59) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคบริการ โดยเฉพาะในสาขาการท่องเที่ยวที่มีจำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง โครงการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับตัวดีขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.0 และภาคการส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 (คาดการณ์ ณ เม.ย. 59) อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย

• นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหล่งชาติ (สศช.) แถลงว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/59 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 เติบโตสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส
• สศค. วิเคราะห์ว่า ไตรมาสแรกของปี 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 หรือคิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการบริโภคภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสุทธิเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากการส่งออกบริการ ส่วนในด้านการผลิตพบว่า ขยายตัวได้ในเกือบทุกสาขาการผลิต โดยเฉพาะสาขาการค้าส่งค้าปลีก สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาคมนาคมขนส่ง และสาขาการก่อสร้างที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และหากพิจารณาแหล่งที่มาของการเจริญเติบโตของ GDP ที่ร้อยละ 3.2 ด้านการผลิต (Contribution to GDP growth) พบว่าสาขาการผลิตที่ทำให้ GDP ขยายตัวมาก ได้แก่ สาขาการค้าปลีกค้าส่ง (ร้อยละ 0.9) ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัว สาขาโรงแรมและบริการทางด้านอาหาร (ร้อยละ 0.7) ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ในขณะที่สาขาที่หดตัวได้แก่ สาขาการผลิต (ร้อยละ -0.1) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเบา อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอที่อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนไปบ้าง และสาขาเกษตรกรรม (ร้อยละ -0.2) ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรม

• ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศอัดฉีดเม็ดเงินเข้าตลาดสุทธิ 2.5 หมื่นล้านหยวน (3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) (ในวันที่ 16 พ.ค. 59) เพื่อรักษาสภาพคล่อง โดย PBOC อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร ผ่านทางข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) อายุ 7 วัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ด้วยข้อตกลงที่จะขายคืนในอนาคต โดยมีอัตราผลตอบแทนร้อยละ 2.25
• สศค. วิเคราะห์ว่า การที่ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเป็นการผ่อนคลายภาวะสภาพคล่องตึงตัวและเป็นการเน้นการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ ประเด็นที่ควรจับตาภายหลังจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาด คือ ประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการติดตามคุณภาพของหนี้สิน และผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น ทั้งนี้ สศค. คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 59 จะขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 ต่อปี (คาดการณ์ ณ เดือน เม.ย. 59)

ที่มา: Bureau of Macroeconomic Policy,Fiscal Policy Office, Ministry of Finance

Tel: 02-273-9020 Ext. 3257