นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงข่าวรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนตุลาคม 2550 ว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนโดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ในระดับสูงมาก เช่นเดียวกับการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งในด้านการบริโภคและการลงทุนที่มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งนี้เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนตุลาคมยังคงขยายตัวในระดับสูง แสดงถึงบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายงบประมาณในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้น 155.4 พันล้านบาท ขยายตัวถึงร้อยละ 73.5 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำและลงทุนถึงร้อยละ 60.3 และ 367.3 ต่อปีตามลำดับ ซึ่งอัตราขยายตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณในระดับสูงนี้สะท้อนถึงบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยฐานต่ำจากการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2550 ในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ที่ล่าช้า สำหรับรายได้จัดเก็บสุทธิของรัฐบาลในเดือนตุลาคม จัดเก็บได้รวม 116.1 พันล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 8.0 ต่อปี โดยเมื่อพิจารณาภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้และฐานการบริโภคในเดือนตุลาคมจะเห็นได้ว่า ยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 8.1 ต่อปี และร้อยละ 6.8 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานของประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การบริโภคมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน
2. ภาคการส่งออกในเดือนตุลาคม ขยายตัวในระดับสูงมาก โดยการส่งออกในเดือนตุลาคมมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 14.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวที่ร้อยละ 26.7 ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี โดยเป็นการขยายตัวของการส่งออกในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะอิเลคทรอนิกส์ ยานพาหนะ และอัญมณีและเครื่องประดับ สำหรับภาคการนำเข้าในเดือนตุลาคมปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยมูลค่าการนำเข้าในเดือนตุลาคมรวมทั้งสิ้น 13.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 20.2 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวดสินค้า ทั้งกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภค สำหรับดุลการค้าในเดือนตุลาคมยังคงเกินดุลต่อเนื่องที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากแม้ว่าส่งออกจะขยายตัวดีขึ้นมาก แต่การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศทำให้ดุลการค้าเกินดุลลดลง
3. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ในเดือนตุลาคม ขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคมขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.0 ต่อปี เร่งขึ้นจากเดือนกันยายนที่ขยายตัวร้อยละ 28.8 ต่อปี ในขณะที่เครื่องชี้การบริโภคสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 จากที่เคยหดตัวร้อยละ -2.1 ในเดือนก่อนหน้า ในด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนตุลาคม 2550 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 68.6 จุด ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 69.2 จุด โดยมีปัจจัยหลัก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
4. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนตุลาคม ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนตุลาคม ขยายตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 22.0 ต่อปี เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการขยายตัวในเครื่องจักรไฟฟ้า และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นหลัก สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม ที่ขยายตัวร้อยละ 16.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 13.3 ต่อปี ในขณะที่เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนตุลาคม ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ 11.8 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 81.9 จุดในเดือนตุลาคม 2550 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดคำสั่งซื้อจากภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนตุลาคมพบว่า ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจากการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า พบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเบื้องต้นขยายตัวที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 10.3 เนื่องจากอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ ยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนตุลาคม 2550 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 68.1 ในด้านเครื่องชี้ภาคบริการจากการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนตุลาคมมีจำนวน 1.15 ล้านคน ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในรอบปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดือนตุลาคมของปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเดือนกันยายน 2549 ที่มีผลต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคมด้วย ประกอบกับเป็นเดือนเริ่มต้นของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 4 ของไทย อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคการเกษตรเริ่มมีการชะลอตัวลง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนตุลาคม หดตัวที่ร้อยละ -6.8 ต่อปี โดยเป็นการหดตัวของผลผลิตหลัก เช่น ข้าวนาปี ยางพารา และมันสำปะหลัง เป็นหลักเนื่องจากฐานคำนวณในปีก่อนหน้าที่สูง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศในเดือนตุลาคมที่มีฝนตกชุก ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผลหลายชนิด เช่นยางพารา ทั้งนี้ ดัชนีราคายังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของราคาผลผลิตการเกษตรที่สามารถนำไปผลิตพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมันเป็นหลัก
6. เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 2.1 ต่อปีในเดือนกันยายนเป็นอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในเดือนตุลาคม อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานเดือนกันยายนยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.2 ของกำลังแรงงาน สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ สิ้นเดือนเดือนกันยายน 2550 อยู่ที่ร้อยละ 37.8 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก สำหรับเครื่องชี้เสถียรภาพภายนอกประเทศอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากอยู่ที่ 82.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดือนก่อนหน้าที่ 80.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นหลายเท่าตัว
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 23/2550 27 ตุลาคม 2550--
1. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนตุลาคมยังคงขยายตัวในระดับสูง แสดงถึงบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายงบประมาณในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้น 155.4 พันล้านบาท ขยายตัวถึงร้อยละ 73.5 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำและลงทุนถึงร้อยละ 60.3 และ 367.3 ต่อปีตามลำดับ ซึ่งอัตราขยายตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณในระดับสูงนี้สะท้อนถึงบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยฐานต่ำจากการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2550 ในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ที่ล่าช้า สำหรับรายได้จัดเก็บสุทธิของรัฐบาลในเดือนตุลาคม จัดเก็บได้รวม 116.1 พันล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 8.0 ต่อปี โดยเมื่อพิจารณาภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้และฐานการบริโภคในเดือนตุลาคมจะเห็นได้ว่า ยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 8.1 ต่อปี และร้อยละ 6.8 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานของประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การบริโภคมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน
2. ภาคการส่งออกในเดือนตุลาคม ขยายตัวในระดับสูงมาก โดยการส่งออกในเดือนตุลาคมมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 14.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวที่ร้อยละ 26.7 ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี โดยเป็นการขยายตัวของการส่งออกในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะอิเลคทรอนิกส์ ยานพาหนะ และอัญมณีและเครื่องประดับ สำหรับภาคการนำเข้าในเดือนตุลาคมปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยมูลค่าการนำเข้าในเดือนตุลาคมรวมทั้งสิ้น 13.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 20.2 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวดสินค้า ทั้งกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภค สำหรับดุลการค้าในเดือนตุลาคมยังคงเกินดุลต่อเนื่องที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากแม้ว่าส่งออกจะขยายตัวดีขึ้นมาก แต่การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศทำให้ดุลการค้าเกินดุลลดลง
3. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ในเดือนตุลาคม ขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคมขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.0 ต่อปี เร่งขึ้นจากเดือนกันยายนที่ขยายตัวร้อยละ 28.8 ต่อปี ในขณะที่เครื่องชี้การบริโภคสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 จากที่เคยหดตัวร้อยละ -2.1 ในเดือนก่อนหน้า ในด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนตุลาคม 2550 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 68.6 จุด ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 69.2 จุด โดยมีปัจจัยหลัก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
4. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนตุลาคม ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนตุลาคม ขยายตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 22.0 ต่อปี เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการขยายตัวในเครื่องจักรไฟฟ้า และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นหลัก สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม ที่ขยายตัวร้อยละ 16.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 13.3 ต่อปี ในขณะที่เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนตุลาคม ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ 11.8 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 81.9 จุดในเดือนตุลาคม 2550 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดคำสั่งซื้อจากภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนตุลาคมพบว่า ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจากการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า พบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเบื้องต้นขยายตัวที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 10.3 เนื่องจากอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ ยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนตุลาคม 2550 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 68.1 ในด้านเครื่องชี้ภาคบริการจากการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนตุลาคมมีจำนวน 1.15 ล้านคน ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในรอบปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดือนตุลาคมของปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเดือนกันยายน 2549 ที่มีผลต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคมด้วย ประกอบกับเป็นเดือนเริ่มต้นของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 4 ของไทย อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคการเกษตรเริ่มมีการชะลอตัวลง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนตุลาคม หดตัวที่ร้อยละ -6.8 ต่อปี โดยเป็นการหดตัวของผลผลิตหลัก เช่น ข้าวนาปี ยางพารา และมันสำปะหลัง เป็นหลักเนื่องจากฐานคำนวณในปีก่อนหน้าที่สูง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศในเดือนตุลาคมที่มีฝนตกชุก ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผลหลายชนิด เช่นยางพารา ทั้งนี้ ดัชนีราคายังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของราคาผลผลิตการเกษตรที่สามารถนำไปผลิตพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมันเป็นหลัก
6. เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 2.1 ต่อปีในเดือนกันยายนเป็นอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในเดือนตุลาคม อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานเดือนกันยายนยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.2 ของกำลังแรงงาน สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ สิ้นเดือนเดือนกันยายน 2550 อยู่ที่ร้อยละ 37.8 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก สำหรับเครื่องชี้เสถียรภาพภายนอกประเทศอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากอยู่ที่ 82.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดือนก่อนหน้าที่ 80.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นหลายเท่าตัว
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 23/2550 27 ตุลาคม 2550--