นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2550 ได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFDM+3) ณ เมืองลิเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน
การประชุม AFDM+3 อย่างไม่เป็นทางการจัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการเงินของภูมิภาคและของประเทศสมาชิก โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้นำเสนอว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ยังมีแนวโน้มที่ดี อัตราการเจริญเติบโตโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดย ADB คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 (รวมฮ่องกง) ในปี 2550 จะขยายตัวร้อยละ 5.1 และในปี 2551 จะลดลงเล็กน้อยเป็นร้อยละ 4.9 ในขณะที่ IMF ประมาณการเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2550 จะขยายตัวร้อยละ 8.0 และในปี 2551 จะลดลงเล็กน้อยเป็นร้อยละ 7.2 ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เป็นปัจจัยหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ADB และ IMF ได้ระบุว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ยังเผชิญกับความเสี่ยงหลายๆ ด้าน ที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่ผันผวนและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการประชุม AFDM+3 อย่างเป็นทางการ จัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 โดยมี มร. ลี ยุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐประชาชนจีน และนางพรรณีฯ ทำหน้าที่ประธานร่วมในการประชุม ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน +3 ได้ร่วมกันพิจารณามาตรการริเริ่มต่างๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียทั้งในด้านการเพิ่มอุปทานด้วยการพัฒนาตราสารหนี้ประเภทใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนากลไกการค้ำประกันความน่าเชื่อถือและการลงทุน และยกระดับการปฏิบัติของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ภายในภูมิภาคอาเซียน+3 เพื่อเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียมากขึ้น โดยในช่วงต่อไป คณะทำงานจะมุ่งเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศสมาชิกอาเซียน+3 การจัดตั้งหน่วยงานภายใน ADB เพื่อทำหน้าที่ค้ำประกันพันธบัตรของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานระยะสั้นของคณะทำงานด้านต่างๆ ภายใต้ ABMI นอกจากนี้ เนื่องจากได้ดำเนินการ ABMI มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ประชุมจึงได้ขอให้คณะกรรมการกำหนดนโยบาย (ABMI Focal Group) พิจารณาทบทวนโครงสร้างคณะทำงานต่างๆ ภายใต้ ABMIและกรอบการดำเนินงานในระยะต่อไปเพื่อนำเสนอในการประชุมครั้งหน้าในเดือนเมษายน 2551
2. มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative: CMI) ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่พหุภาคี (CMI Multilateralisation) ระยะที่ 2
โดยที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบการจัดทำ CMI Multilateralisation และรูปแบบโดยรวมในเบื้องต้น อาทิ ขนาดกองทุน แนวทางการลงเงิน เป็นต้น ทั้งนี้ ได้ขอให้คณะทำงานทบทวนการศึกษาในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งแนวความคิดเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือของ ASEAN+3 ที่จะกำหนดเปรียบเทียบกับการดำเนินการของ IMF ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่อยู่รัหว่างการพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติมและนำเสนอในรายละเอียดในการประชุมครั้งหน้า
3. ASEAN+3 Group of Experts ได้รายงานผลการวิจัยเรื่อง Intra-regional Portfolio Flows in ASEAN+3 ว่า ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในประเทศอาเซียน+3 ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดเงิน โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 สูงถึงร้อยละ 39.3 ในขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปมีการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 คิดเป็นร้อยละ 37.5 และกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีสัดส่วนในการลงทุน
เพียงร้อยละ 4.1 โดยเป็นเงินทุนที่มาจากประเทศสิงคโปร์ถึง 2 ใน 3 ของเงินทุนทั้งหมด ซึ่งผู้วิจัย คาดว่า เงินส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศสิงคโปร์นี้ มีศูนย์การบริหารจัดการอยู่ในประเทศสิงคโปร์มากกว่าที่เป็นเงินของสิงคโปร์เอง นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้กล่าวไว้ว่า สาเหตุที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีเงินทุนที่ไหลเข้าจากภายนอกภูมิภาคเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะระบบการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับระบบการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือของกลุ่มประเทศยุโรปมากกว่ากับประเทศอาเซียน+3 ด้วยกันเอง แม้ว่าในปัจจุบัน การรวมตัวใน ภาคการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มากพอ ทำให้ระบบการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ยังคงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปพอสมควร นักวิจัยได้เสนอว่า การที่จะทำให้เงินทุนของภูมิภาคมีการเคลื่อนย้ายอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น กลุ่มประเทศอาเซียน+3 จะต้องผลักดันให้ระบบการเงินของภูมิภาครวมตัวกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างตลาดเงินและตลาดทุนให้มีความเข้มแข็งและ เพิ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนให้มีจำนวนมากขึ้นและมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบหัวข้อการศึกษาสำหรับปี 2551 ได้แก่ เรื่อง Real Estate Prices in ASEAN+3 ซึ่งเสนอโดยสาธารณรัฐเกาหลี
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3333
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 104/2550 3 ธันวาคม 50--
การประชุม AFDM+3 อย่างไม่เป็นทางการจัดขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการเงินของภูมิภาคและของประเทศสมาชิก โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้นำเสนอว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ยังมีแนวโน้มที่ดี อัตราการเจริญเติบโตโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดย ADB คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 (รวมฮ่องกง) ในปี 2550 จะขยายตัวร้อยละ 5.1 และในปี 2551 จะลดลงเล็กน้อยเป็นร้อยละ 4.9 ในขณะที่ IMF ประมาณการเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2550 จะขยายตัวร้อยละ 8.0 และในปี 2551 จะลดลงเล็กน้อยเป็นร้อยละ 7.2 ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เป็นปัจจัยหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ADB และ IMF ได้ระบุว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ยังเผชิญกับความเสี่ยงหลายๆ ด้าน ที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่ผันผวนและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการประชุม AFDM+3 อย่างเป็นทางการ จัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 โดยมี มร. ลี ยุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐประชาชนจีน และนางพรรณีฯ ทำหน้าที่ประธานร่วมในการประชุม ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน +3 ได้ร่วมกันพิจารณามาตรการริเริ่มต่างๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน+3 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียทั้งในด้านการเพิ่มอุปทานด้วยการพัฒนาตราสารหนี้ประเภทใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนากลไกการค้ำประกันความน่าเชื่อถือและการลงทุน และยกระดับการปฏิบัติของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ภายในภูมิภาคอาเซียน+3 เพื่อเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียมากขึ้น โดยในช่วงต่อไป คณะทำงานจะมุ่งเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศสมาชิกอาเซียน+3 การจัดตั้งหน่วยงานภายใน ADB เพื่อทำหน้าที่ค้ำประกันพันธบัตรของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานระยะสั้นของคณะทำงานด้านต่างๆ ภายใต้ ABMI นอกจากนี้ เนื่องจากได้ดำเนินการ ABMI มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ประชุมจึงได้ขอให้คณะกรรมการกำหนดนโยบาย (ABMI Focal Group) พิจารณาทบทวนโครงสร้างคณะทำงานต่างๆ ภายใต้ ABMIและกรอบการดำเนินงานในระยะต่อไปเพื่อนำเสนอในการประชุมครั้งหน้าในเดือนเมษายน 2551
2. มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative: CMI) ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่พหุภาคี (CMI Multilateralisation) ระยะที่ 2
โดยที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบการจัดทำ CMI Multilateralisation และรูปแบบโดยรวมในเบื้องต้น อาทิ ขนาดกองทุน แนวทางการลงเงิน เป็นต้น ทั้งนี้ ได้ขอให้คณะทำงานทบทวนการศึกษาในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งแนวความคิดเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือของ ASEAN+3 ที่จะกำหนดเปรียบเทียบกับการดำเนินการของ IMF ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่อยู่รัหว่างการพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติมและนำเสนอในรายละเอียดในการประชุมครั้งหน้า
3. ASEAN+3 Group of Experts ได้รายงานผลการวิจัยเรื่อง Intra-regional Portfolio Flows in ASEAN+3 ว่า ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในประเทศอาเซียน+3 ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดเงิน โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 สูงถึงร้อยละ 39.3 ในขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปมีการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 คิดเป็นร้อยละ 37.5 และกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีสัดส่วนในการลงทุน
เพียงร้อยละ 4.1 โดยเป็นเงินทุนที่มาจากประเทศสิงคโปร์ถึง 2 ใน 3 ของเงินทุนทั้งหมด ซึ่งผู้วิจัย คาดว่า เงินส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศสิงคโปร์นี้ มีศูนย์การบริหารจัดการอยู่ในประเทศสิงคโปร์มากกว่าที่เป็นเงินของสิงคโปร์เอง นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้กล่าวไว้ว่า สาเหตุที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีเงินทุนที่ไหลเข้าจากภายนอกภูมิภาคเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะระบบการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับระบบการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือของกลุ่มประเทศยุโรปมากกว่ากับประเทศอาเซียน+3 ด้วยกันเอง แม้ว่าในปัจจุบัน การรวมตัวใน ภาคการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มากพอ ทำให้ระบบการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ยังคงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปพอสมควร นักวิจัยได้เสนอว่า การที่จะทำให้เงินทุนของภูมิภาคมีการเคลื่อนย้ายอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น กลุ่มประเทศอาเซียน+3 จะต้องผลักดันให้ระบบการเงินของภูมิภาครวมตัวกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างตลาดเงินและตลาดทุนให้มีความเข้มแข็งและ เพิ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนให้มีจำนวนมากขึ้นและมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบหัวข้อการศึกษาสำหรับปี 2551 ได้แก่ เรื่อง Real Estate Prices in ASEAN+3 ซึ่งเสนอโดยสาธารณรัฐเกาหลี
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3333
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 104/2550 3 ธันวาคม 50--