ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 21, 2018 13:11 —กระทรวงการคลัง

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – กรกฎาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 2,027,375 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 67,253 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 6.3 โดยมีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 25,241 และ 25,220 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 และ 20.8 ตามลำดับ ทั้งนี้ ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีรถยนต์ และภาษียาสูบ”

นางสาวกุลยาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปีงบประมาณ 2561 นี้ กระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่า จะจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – กรกฎาคม 2561) และเดือนกรกฎาคม 2561

1. ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – กรกฎาคม 2561)

รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,027,375 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 67,253 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.3) โดยการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 25,241 และ 25,220 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 และ 20.8 ตามลำดับ

ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้

1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 1,493,860 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,365 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.4) เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 19,083 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.6) อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 19,205 ล้านบาท หรือร้อยละ 47.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 66.9) เนื่องจากมีการชำระภาษีเงินได้ปิโตรเลียมย้อนหลัง และผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ำมันปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 2,405 ล้านบาท (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.1) เนื่องจากภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของภาคเอกชนขยายตัวได้ดีกว่าที่ประมาณการไว้

1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 468,470 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,399 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.8 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.6) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษีน้ำมัน และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 12,567 7,825 และ 5,933 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.5 4.2 และ 11.2 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณเบียร์ น้ำมัน และสุราที่ชำระภาษีต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษียาสูบ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 8,662 และ 4,988 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.6 และ 9.4 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่ชำระภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดี และภาระภาษีต่อซองของยาสูบหลังจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ สูงกว่าที่ประมาณการไว้

1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 90,130 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,470 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.8) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ำกว่าประมาณการจำนวน 2,533 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.2) ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก

การนำเข้าสินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้การจัดเก็บอากรขาเข้าไม่ขยายตัวตามที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 14.7 และ 5.4 ตามลำดับ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าในช่วง 9 เดือนแรกได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานบกและส่วนประกอบ (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (3) เครื่องจักรและเครื่องใช้กล (4) ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และ (5) พลาสติกและสินค้าจากพลาสติก

1.4 รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้รวม 146,319 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 25,220 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.5) ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (2) บมจ. ปตท. (3) ธนาคารออมสิน (4) บมจ. ท่าอากาศยานไทย และ (5) การประปาส่วนภูมิภาค เนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดี

1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 169,647 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 25,241 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 12.7) โดยส่วนราชการอื่นจัดเก็บรายได้รวม 162,634 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 24,531 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 14.6) เนื่องจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน การนำส่งรายได้ของสำนักงาน กสทช. และการส่งคืนเงินกันชดเชยให้แก่ผู้ส่งออกเป็นรายได้แผ่นดินสูงกว่าประมาณการเป็นสำคัญ

สำหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 7,013 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 710 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.3 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.2) โดยรายได้ด้านเหรียญกษาปณ์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เป็นสำคัญ

1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จำนวน 240,498 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 28,030 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.4 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 182,317 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 27,283 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.0 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จำนวน 58,181 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 747 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3

1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จำนวน 10,913 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,413 ล้านบาท หรือร้อยละ 28.4

1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 14,027 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 965 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.4

1.9 เงินกันชดเชยภาษีสำหรับสินค้าส่งออก จำนวน 9,945 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 5,782 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราเงินกันชดเชยภาษีสำหรับสินค้าส่งออก จากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา

1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ งวดที่ 1 - 7 จำนวน 65,668 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,338 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.1

2. เดือนกรกฎาคม 2561

รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 194,905 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,496 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.4 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 14.8) โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการจำนวน 8,388 1,946 และ 1,142 ล้านบาท โดยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการเนื่องจากมีการชำระภาษีย้อนหลัง อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเบียร์ และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการจำนวน 2,037 1,896 และ 1,789 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.8 23.8 และ 32.9 ตามลำดับ

สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573

ที่มา: กระทรวงการคลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ