สรุปการสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ณ จังหวัดกระบี่ วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2551 เวลา 8.30 — 16.30 น. ณ ห้องนพรัตน์ โรงแรม มาริไทม์ ปาร์ค แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่
การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ณ จังหวัดกระบี่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจ และประชาสัมพันธ์กฎหมายทางการเงินใหม่ 2 ฉบับ อันได้แก่ พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ให้แก่ทุกภาคส่วนในภูมิภาค โดยการสัมมนาได้แบ่งหัวข้อสัมมนาออกเป็น 2 ภาค ในภาคเช้า นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้กล่าวเปิดสัมมนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2551” และเป็นการสัมมนาหัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อจังหวัดกระบี่” และสำหรับภาคบ่ายเป็นการสัมมนาในหัวข้อ “เอ็กซเรย์เงินเงินทองทอง” ในประเด็นประชาชนและสถาบันการเงินเดินไปพร้อมกันได้อย่างไร และดูแลเงินฝากอย่างไรกับ รูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่ โดยมีสรุปสาระสำคัญดังนี้
ผอ. สศค. ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2551” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
ในปี 2550 เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี จากร้อยละ 5.1 ต่อปี ในปี 2549 เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีการชะลอตัว โดยมีปัจจัยหลักจากการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งภายในและนอกประเทศอันเนื่องมาจากความ
ไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐผ่านการบริโภคและการลงทุน ช่วยพยุงเศรษฐกิจโดยรวมไม่ให้ชะลอตัวลง
มากนัก ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจในปี 2550 ยังดีในระดับมั่นคง โดยในด้านเสถียรภาพภายนอก มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในด้านเสถียรภาพภายใน อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี และอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงาน ในขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 38 ของ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบ
ความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 50
สำหรับเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนมกราคม 2551 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวสมดุลมากขึ้น กล่าวคือ ทั้งการบริโภค การลงทุน และการส่งออกมีการขยายตัวดีมากขึ้น ดูได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 71.2 ปริมาณการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงขยายตัวถึงร้อยละ 12.4 สูงสุดในรอบ 19 ปี และปริมาณการนำเข้าสินค้าบริโภคอุปโภคขยายตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ร้อยละ 52.5 ทางด้านการลงทุนมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยดูได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 61.2 สำหรับด้านการส่งออกนั้นมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.3 อันเป็นผลจากการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เช่น ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย เวียดนาม อินเดีย และจีน ในขณะที่ การใช้จ่ายภาครัฐ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายรัฐบาลในเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 1.58 แสนล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 63 ต่อปี
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2551 สศค. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5-5.5 ต่อปี แต่จากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 1) การคงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 อีก 2 ปี 2) การลดภาษีธุรกิจเฉพาะเหลือร้อยละ 0.1 เป็นเวลา 1 ปี และลดค่าจดทะเบียนการโอน-จดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 3) การยืดเวลาของการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหลือร้อยละ 25 พร้อมทั้งอนุมัติลดภาษีเงินได้บริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI เหลือร้อยละ 20 4) การขยายฐานรายได้ขั้นต่ำที่
ไม่ต้องเสียภาษีเป็น 1.5 แสนบาท/ปี พร้อมทั้งเพิ่มค่าลดหย่อนเงินประกันชีวิตเป็น 1 แสนบาท/ปี และเพิ่มค่าลดหย่อนเงินเลี้ยงดูบุพการีพิการและบุตรพิการเป็น 6 หมื่นบาท/ปี และ 5) การหักค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อให้เครื่องจักรประหยัดพลังงาน
ได้ 1.25 เท่าของรายจ่ายจริง ทำให้ สศค. คาดว่ามีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้
ในกรณีสูงที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง เช่น การจัดทำรายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณกลาง การเร่งส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ
และเอกชน การเร่งส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ การเร่งหารายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งหากรวมมาตรการดังกล่าวที่จะออกมาเพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.0 ต่อปี ในปี 2551 นี้ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศที่สำคัญ อันได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงต่อมา เป็นการเสวนาในหัวข้อเรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อจังหวัดกระบี่” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนแบบจำลองและประมาณการเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ และมี ดร.
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ได้กล่าวถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ที่กระจุกตัวอยู่ในสาขาเกษตร โรงแรมและภัตตาคาร การค้าส่งและการค้าปลีก คมนาคมขนส่ง และอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนถึงเกือบร้อยละ 80 ของผลผลิตทั้งหมดของจังหวัด และความ
ผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ อันได้แก่ 1)
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นำโดย การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเนื่องจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub-prime) ซึ่งปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกผ่านทางตลาดทุนและตลาดเงิน ซึ่งดูได้จากดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ตกทั่วโลก และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศต่างๆ แข็งค่าต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบทางลบต่อหลายภาคการผลิตในจังหวัดกระบี่ที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว 2) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากกลไกตลาดและการเก็ง
กำไรในตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า ดังนั้นการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลกระทบ
ทางลบต่อหลายภาคการผลิตในจังหวัดกระบี่ เช่น ภาคการประมง และภาคการขนส่งที่มี
น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ 3) ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการไหลเข้าของปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนทางตรงระหว่างประเทศของนักลงทุนต่างชาติ และการซื้อตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทอาจจะส่งผลกระทบทางลบต่อภาคเกษตรกรรม ประมง และ การท่องเที่ยวที่ได้รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกันจะส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะช่วยให้ต้นทุนในการนำเข้าถูกลง 4) ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2550 เช่น ราคายางพาราซึ่งสูงขึ้นตามความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ และบางส่วนเป็นการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้า และราคาปาล์มน้ำมันซึ่งสูงขึ้นตามความต้องการพืชพลังงานทดแทน ดังนั้น การที่ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัว ดีขึ้นย่อมทำให้ภาคเกษตรพืชผลปรับตัวดีตาม และทำให้รายได้เกษตรกรดีขึ้น ส่งผลบวกต่อภาคค้าส่งค้าปลีกในจังหวัด และ 5) อัตราดอกเบี้ย แม้จะเป็นนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกด้วย เพราะเกี่ยวพันกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ทั้งนี้ การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตของหลาย ๆ ภาคการผลิตของจังหวัดกระบี่ที่มีการกู้เงินค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ยังได้เสนอถึงมาตรการภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยวของรัฐที่จะช่วยรองรับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกต่อเศรษฐกิจจังหวัดกระบี่
นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ได้บรรยายถึงโครงสร้างเศรษฐกิจจำแนกตามรายภาค การผลิตของจังหวัดกระบี่และเสนอนโยบายในการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต่อจังหวัดกระบี่ ประกอบด้วย
1) มาตรการในภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ ขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง ส่งเสริมการท่องเที่ยวนอกฤดูกาล พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ
2) มาตรการในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้แก่ ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเปิดตลาดคู่ค้าใหม่ สนับสนุนงานวิจัยเพื่อ ลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมให้มีผลผลิตต่อไร่สูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันแบบ ครบวงจร
3) มาตรการในภาคการค้าและการลงทุน ได้แก่ พัฒนาและสร้างความเข้มแข็ง แก่ธุรกิจ SME รวมถึงพัฒนาช่องทางในการเข้าถึงเงินทุนให้แก่ SME ส่งเสริมให้มีการรวมตัวในกลุ่มธุรกิจ เช่น Cluster ของผู้ผลิตยางพารา Cluster ของผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน Cluster ของ ผู้ประกอบธุรกิจด้าน Logistics และ Cluster ของผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว และใช้ Trade Model ในการสนับสนุนให้เกิดดุลยภาพระหว่างผู้ประกอบการ
4) มาตรการในด้านโลจิสติกส์ ได้แก่ พัฒนาสนามบิน ถนน ทางเชื่อมรางรถไฟ และท่าเรือน้ำลึกให้สามารถรองรับ การคมนาคมขนส่งที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และ
5) นโยบายภาครัฐ ได้แก่ การกระตุ้น การใช้จ่ายภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ การใช้นโยบายภาษีและดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการลงทุนในภาคเอกชน รวมถึงการเร่งทำโครงการ Mega Project ให้เป็นรูปธรรม
สำหรับช่วงบ่ายเป็นการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “เอ็กซเรย์เงินเงินทองทอง : ประชาชนและสถาบันการเงินเดินไปพร้อมกันได้อย่างไร : ดูแลเงินฝากอย่างไรกับรูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่” โดยนายสุวิทย์ พูลศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกลยุทธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นำเสนอบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาคใต้และจังหวัดกระบี่ในปัจจุบันและอนาคต
นายปิยะ ซอโสตถิกุล ผู้อำนวยการสายลูกค้าธุรกิจรายกลางต่างจังหวัด กิจการธนาคารต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำเสนอบทบาทของธนาคารพาณิชย์ในระบบเศรษฐกิจภาคใต้และการปรับตัวของสถาบันการเงินเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นำเสนอภาพรวมของระบบการเงินไทย ทั้งในสถานะปัจจุบัน แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต นายทวีศักดิ์ มานะกุล ผู้อำนวยการส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นำเสนอรูปแบบของระบบการคุ้มครองเงินฝากทั้งในปัจจุบันและรูปแบบใหม่ รวมทั้งผลกระทบและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากรูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่ โดยมีนายชัยยุทธ สุทธิธนากร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้ดำเนินรายการ
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ กล่าวว่า ในอดีตประเทศไทยพึ่งพิงแหล่งเงินทุนผ่านตัวกลางทางการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในปี 2540 และส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจและการบริโภคของประชาชน จนเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ประสบปัญหาจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ กอปรกับในช่วงเวลานั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่อ่อนแอ ส่งผลให้ธนาคารต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว และเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ ทำให้แหล่งทุนอื่นๆ มีบทบาทมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แหล่งทุนที่สำคัญ คือ
ตลาดทุน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งช่วยให้มีแหล่งเงินทุนกระจายในวงกว้างสู่หน่วยเศรษฐกิจขนาดย่อมและครัวเรือนในชนบทที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัทประกันและธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายย่อยและประชาชนทั่วไป
โดยในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่สำคัญ ได้แก่ กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายคณะกรรมการกำกับธุรกิจประกันภัย กฎหมายธุรกิจสถาบันการเงิน และกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินและระบบกำกับดูแลภาคการเงินไทยมีความประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินได้อย่างทันท่วงที และยังเสริมสร้างธรรมภิบาลและความน่าเชื่อถือของผู้กำกับดูแลระบบการเงิน ในส่วนของกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะทำให้ผู้ฝากเงินมีวินัยทางการเงิน และอาจทำให้เกิดการกระจายเงินฝากไปในสถาบันการเงินต่างๆ มากขึ้น
นายทวีศักดิ์ มานะกุล ผู้อำนวยการส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้กล่าวถึงภาพรวมระบบคุ้มครองเงินฝากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมรวมทั้งความจำเป็นในการนำระบบการคุ้มครองรูปแบบใหม่มาใช้ โดยชี้ว่า ระบบคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบันส่งผลให้เกิดการขาดวินัยทางการเงิน (Moral Hazard) ทั้งในส่วนของผู้ฝากและตัวสถาบันการเงินเอง ซึ่งผู้ฝากจะไม่ให้ความสนใจต่อความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน อีกทั้งการคุ้มครองเงินฝากแบบเต็มจำนวนเป็นการบั่นทอนการแข่งขันเสรี เนื่องจากเมื่อสถาบันการเงินประสบปัญหาอย่างรุนแรง รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น
สำหรับระบบคุ้มครองเงินฝากที่จะนำมาใช้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 นี้ จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินต้องพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้อยู่ในระนาบเดียวกัน และผู้ฝากเงินจะหันมาให้ความสำคัญกับฐานะและ
การดำเนินงานของสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันระบบนี้จะดูแลผู้ฝากเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากรายย่อย ซึ่งเป็นผู้ฝากส่วนใหญ่ของสถาบันการเงินที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้ดีพอ ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินในการคุ้มครองภายใต้ระบบใหม่นี้จะทำให้การแข่งขันของสถาบันการเงินเน้นการให้บริการและการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้ฝากเงินมากขึ้นด้วย
นายปิยะ ซอโสตถิกุล ผู้อำนวยการสายลูกค้าธุรกิจรายกลางต่างจังหวัด กิจการธนาคารต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง โอกาสและภาพรวมการให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดกระบี่และพังงา โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของกระบี่ ซึ่งปัจจัยหลักที่เป็นภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว และด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ และนำไปสู่การขยายฐานสินเชื่อได้ นอกจากนี้ ได้กล่าวถึง
การพัฒนาระบบการเงิน การดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบการเงิน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบสากลต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการทางการเงิน และการคุ้มครอง
เงินฝากซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับสถาบันการเงิน โดยท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน
นายสุวิทย์ พูลศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกลยุทธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้กล่าวถึงบทบาทของธนาคารเฉพาะกิจในภาคใต้ โดยที่ผ่านมา ธกส. เน้นการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ภาคเกษตร และการแก้ไขหนี้สินเกษตรกร อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ธกส. ได้กำหนดบทบาทโดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชน โดย ธกส. มีสาขาในภาคใต้ จำนวน 151 สาขา เน้นการสนับสนุนตลาดชุมชน และได้กล่าวถึงภาพรวมการให้สินเชื่อภาคใต้ว่ามีประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และการให้สินเชื่อที่จังหวัดกระบี่มีประมาณ 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาชุมชนควบคู่ไปกับการดำเนินการขยายสินเชื่อ อาทิเช่น การส่งเสริมให้มีการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในชุมชน และส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น นอกจากนี้ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ว่าจะไม่กระทบต่อผู้ฝากเงินของ ธกส. เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นรายย่อยอยู่แล้ว และระบบการคุ้มครองเงินฝากจะเป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยทางการเงินให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น ท้ายที่สุด ได้นำเสนอประเด็นท้าทายในเชิงนโยบายในการพัฒนาเกษตรกรและชุมชน เพื่อให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในส่วนการจัดระบบสงเคราะห์การทำสวนปาล์มน้ำมัน และ การจัดระบบบริหารความเสี่ยงของเกษตรกรรายย่อยโดยการจัดให้มี
การประกันภัยพืชผล และการออมเพื่อวัยชรา ซึ่ง ธกส. มีกองทุนทวีสุขเพื่อรองรับเกษตรกร
ที่ด้อยโอกาสและไม่สามารถเข้าถึงระบบการประกันได้
การจัดสัมมนาวิชาการภายใต้โครงการขยายบทบาท สศค. สู่ภูมิภาคครั้งนี้นับเป็นการจัดครั้งแรกของปีงบประมาณ 2551 หลังจากที่ได้จัดมาแล้ว 6 ครั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสงขลา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดระยอง จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดอุบลราชธานี
นอกจากการจัดสัมมนาวิชาการภายใต้โครงการขยายบทบาท สศค. สู่ภูมิภาคแล้ว สศค.
ยังได้จัดทำโครงการ สศค. ปันน้ำใจให้การศึกษาแก่เด็กน้อย โดยในครั้งนี้ ได้มอบคอมพิวเตอร์
4 เครื่องให้แก่โรงเรียนบ้านห้วยเสียด และทุนสนับสนุนการดำเนินงานของโรงเรียนจำนวน 30,000 บาท ให้แก่โรงเรียนบ้านคลองยาง จังหวัดกระบี่
ทั้งนี้ การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ณ จังหวัดกระบี่ ทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนประมาณ 200 คน สศค. จึงขอขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ และจะได้นำข้อคิดเห็น
ต่าง ๆ ที่ได้รับไปใช้ประกอบการพิจารณานำเสนอนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจการคลังที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 5/2551 10 มีนาคม 2551--
การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ณ จังหวัดกระบี่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจ และประชาสัมพันธ์กฎหมายทางการเงินใหม่ 2 ฉบับ อันได้แก่ พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ให้แก่ทุกภาคส่วนในภูมิภาค โดยการสัมมนาได้แบ่งหัวข้อสัมมนาออกเป็น 2 ภาค ในภาคเช้า นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้กล่าวเปิดสัมมนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2551” และเป็นการสัมมนาหัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อจังหวัดกระบี่” และสำหรับภาคบ่ายเป็นการสัมมนาในหัวข้อ “เอ็กซเรย์เงินเงินทองทอง” ในประเด็นประชาชนและสถาบันการเงินเดินไปพร้อมกันได้อย่างไร และดูแลเงินฝากอย่างไรกับ รูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่ โดยมีสรุปสาระสำคัญดังนี้
ผอ. สศค. ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2551” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
ในปี 2550 เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี จากร้อยละ 5.1 ต่อปี ในปี 2549 เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีการชะลอตัว โดยมีปัจจัยหลักจากการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งภายในและนอกประเทศอันเนื่องมาจากความ
ไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐผ่านการบริโภคและการลงทุน ช่วยพยุงเศรษฐกิจโดยรวมไม่ให้ชะลอตัวลง
มากนัก ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจในปี 2550 ยังดีในระดับมั่นคง โดยในด้านเสถียรภาพภายนอก มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในด้านเสถียรภาพภายใน อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี และอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงาน ในขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 38 ของ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบ
ความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 50
สำหรับเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนมกราคม 2551 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวสมดุลมากขึ้น กล่าวคือ ทั้งการบริโภค การลงทุน และการส่งออกมีการขยายตัวดีมากขึ้น ดูได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 71.2 ปริมาณการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงขยายตัวถึงร้อยละ 12.4 สูงสุดในรอบ 19 ปี และปริมาณการนำเข้าสินค้าบริโภคอุปโภคขยายตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ร้อยละ 52.5 ทางด้านการลงทุนมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยดูได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 61.2 สำหรับด้านการส่งออกนั้นมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.3 อันเป็นผลจากการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เช่น ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย เวียดนาม อินเดีย และจีน ในขณะที่ การใช้จ่ายภาครัฐ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยรายจ่ายรัฐบาลในเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 1.58 แสนล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 63 ต่อปี
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2551 สศค. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5-5.5 ต่อปี แต่จากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 1) การคงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 อีก 2 ปี 2) การลดภาษีธุรกิจเฉพาะเหลือร้อยละ 0.1 เป็นเวลา 1 ปี และลดค่าจดทะเบียนการโอน-จดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 3) การยืดเวลาของการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหลือร้อยละ 25 พร้อมทั้งอนุมัติลดภาษีเงินได้บริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI เหลือร้อยละ 20 4) การขยายฐานรายได้ขั้นต่ำที่
ไม่ต้องเสียภาษีเป็น 1.5 แสนบาท/ปี พร้อมทั้งเพิ่มค่าลดหย่อนเงินประกันชีวิตเป็น 1 แสนบาท/ปี และเพิ่มค่าลดหย่อนเงินเลี้ยงดูบุพการีพิการและบุตรพิการเป็น 6 หมื่นบาท/ปี และ 5) การหักค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อให้เครื่องจักรประหยัดพลังงาน
ได้ 1.25 เท่าของรายจ่ายจริง ทำให้ สศค. คาดว่ามีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้
ในกรณีสูงที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง เช่น การจัดทำรายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณกลาง การเร่งส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ
และเอกชน การเร่งส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ การเร่งหารายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งหากรวมมาตรการดังกล่าวที่จะออกมาเพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.0 ต่อปี ในปี 2551 นี้ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศที่สำคัญ อันได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงต่อมา เป็นการเสวนาในหัวข้อเรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อจังหวัดกระบี่” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนแบบจำลองและประมาณการเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่ และมี ดร.
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ได้กล่าวถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ที่กระจุกตัวอยู่ในสาขาเกษตร โรงแรมและภัตตาคาร การค้าส่งและการค้าปลีก คมนาคมขนส่ง และอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนถึงเกือบร้อยละ 80 ของผลผลิตทั้งหมดของจังหวัด และความ
ผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ อันได้แก่ 1)
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นำโดย การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเนื่องจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub-prime) ซึ่งปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกผ่านทางตลาดทุนและตลาดเงิน ซึ่งดูได้จากดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ตกทั่วโลก และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศต่างๆ แข็งค่าต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบทางลบต่อหลายภาคการผลิตในจังหวัดกระบี่ที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว 2) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากกลไกตลาดและการเก็ง
กำไรในตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า ดังนั้นการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลกระทบ
ทางลบต่อหลายภาคการผลิตในจังหวัดกระบี่ เช่น ภาคการประมง และภาคการขนส่งที่มี
น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ 3) ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการไหลเข้าของปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนทางตรงระหว่างประเทศของนักลงทุนต่างชาติ และการซื้อตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทอาจจะส่งผลกระทบทางลบต่อภาคเกษตรกรรม ประมง และ การท่องเที่ยวที่ได้รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกันจะส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะช่วยให้ต้นทุนในการนำเข้าถูกลง 4) ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2550 เช่น ราคายางพาราซึ่งสูงขึ้นตามความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ และบางส่วนเป็นการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้า และราคาปาล์มน้ำมันซึ่งสูงขึ้นตามความต้องการพืชพลังงานทดแทน ดังนั้น การที่ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัว ดีขึ้นย่อมทำให้ภาคเกษตรพืชผลปรับตัวดีตาม และทำให้รายได้เกษตรกรดีขึ้น ส่งผลบวกต่อภาคค้าส่งค้าปลีกในจังหวัด และ 5) อัตราดอกเบี้ย แม้จะเป็นนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกด้วย เพราะเกี่ยวพันกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ทั้งนี้ การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตของหลาย ๆ ภาคการผลิตของจังหวัดกระบี่ที่มีการกู้เงินค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ยังได้เสนอถึงมาตรการภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยวของรัฐที่จะช่วยรองรับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกต่อเศรษฐกิจจังหวัดกระบี่
นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ได้บรรยายถึงโครงสร้างเศรษฐกิจจำแนกตามรายภาค การผลิตของจังหวัดกระบี่และเสนอนโยบายในการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต่อจังหวัดกระบี่ ประกอบด้วย
1) มาตรการในภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ ขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง ส่งเสริมการท่องเที่ยวนอกฤดูกาล พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ
2) มาตรการในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้แก่ ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเปิดตลาดคู่ค้าใหม่ สนับสนุนงานวิจัยเพื่อ ลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมให้มีผลผลิตต่อไร่สูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันแบบ ครบวงจร
3) มาตรการในภาคการค้าและการลงทุน ได้แก่ พัฒนาและสร้างความเข้มแข็ง แก่ธุรกิจ SME รวมถึงพัฒนาช่องทางในการเข้าถึงเงินทุนให้แก่ SME ส่งเสริมให้มีการรวมตัวในกลุ่มธุรกิจ เช่น Cluster ของผู้ผลิตยางพารา Cluster ของผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน Cluster ของ ผู้ประกอบธุรกิจด้าน Logistics และ Cluster ของผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว และใช้ Trade Model ในการสนับสนุนให้เกิดดุลยภาพระหว่างผู้ประกอบการ
4) มาตรการในด้านโลจิสติกส์ ได้แก่ พัฒนาสนามบิน ถนน ทางเชื่อมรางรถไฟ และท่าเรือน้ำลึกให้สามารถรองรับ การคมนาคมขนส่งที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และ
5) นโยบายภาครัฐ ได้แก่ การกระตุ้น การใช้จ่ายภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ การใช้นโยบายภาษีและดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการลงทุนในภาคเอกชน รวมถึงการเร่งทำโครงการ Mega Project ให้เป็นรูปธรรม
สำหรับช่วงบ่ายเป็นการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “เอ็กซเรย์เงินเงินทองทอง : ประชาชนและสถาบันการเงินเดินไปพร้อมกันได้อย่างไร : ดูแลเงินฝากอย่างไรกับรูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่” โดยนายสุวิทย์ พูลศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกลยุทธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นำเสนอบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาคใต้และจังหวัดกระบี่ในปัจจุบันและอนาคต
นายปิยะ ซอโสตถิกุล ผู้อำนวยการสายลูกค้าธุรกิจรายกลางต่างจังหวัด กิจการธนาคารต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำเสนอบทบาทของธนาคารพาณิชย์ในระบบเศรษฐกิจภาคใต้และการปรับตัวของสถาบันการเงินเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นำเสนอภาพรวมของระบบการเงินไทย ทั้งในสถานะปัจจุบัน แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต นายทวีศักดิ์ มานะกุล ผู้อำนวยการส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นำเสนอรูปแบบของระบบการคุ้มครองเงินฝากทั้งในปัจจุบันและรูปแบบใหม่ รวมทั้งผลกระทบและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากรูปแบบการคุ้มครองเงินฝากใหม่ โดยมีนายชัยยุทธ สุทธิธนากร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้ดำเนินรายการ
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ กล่าวว่า ในอดีตประเทศไทยพึ่งพิงแหล่งเงินทุนผ่านตัวกลางทางการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในปี 2540 และส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจและการบริโภคของประชาชน จนเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ประสบปัญหาจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ กอปรกับในช่วงเวลานั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่อ่อนแอ ส่งผลให้ธนาคารต้องปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว และเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ ทำให้แหล่งทุนอื่นๆ มีบทบาทมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แหล่งทุนที่สำคัญ คือ
ตลาดทุน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งช่วยให้มีแหล่งเงินทุนกระจายในวงกว้างสู่หน่วยเศรษฐกิจขนาดย่อมและครัวเรือนในชนบทที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัทประกันและธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายย่อยและประชาชนทั่วไป
โดยในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่สำคัญ ได้แก่ กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายคณะกรรมการกำกับธุรกิจประกันภัย กฎหมายธุรกิจสถาบันการเงิน และกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินและระบบกำกับดูแลภาคการเงินไทยมีความประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินได้อย่างทันท่วงที และยังเสริมสร้างธรรมภิบาลและความน่าเชื่อถือของผู้กำกับดูแลระบบการเงิน ในส่วนของกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะทำให้ผู้ฝากเงินมีวินัยทางการเงิน และอาจทำให้เกิดการกระจายเงินฝากไปในสถาบันการเงินต่างๆ มากขึ้น
นายทวีศักดิ์ มานะกุล ผู้อำนวยการส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้กล่าวถึงภาพรวมระบบคุ้มครองเงินฝากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมรวมทั้งความจำเป็นในการนำระบบการคุ้มครองรูปแบบใหม่มาใช้ โดยชี้ว่า ระบบคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบันส่งผลให้เกิดการขาดวินัยทางการเงิน (Moral Hazard) ทั้งในส่วนของผู้ฝากและตัวสถาบันการเงินเอง ซึ่งผู้ฝากจะไม่ให้ความสนใจต่อความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน อีกทั้งการคุ้มครองเงินฝากแบบเต็มจำนวนเป็นการบั่นทอนการแข่งขันเสรี เนื่องจากเมื่อสถาบันการเงินประสบปัญหาอย่างรุนแรง รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น
สำหรับระบบคุ้มครองเงินฝากที่จะนำมาใช้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 นี้ จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินต้องพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้อยู่ในระนาบเดียวกัน และผู้ฝากเงินจะหันมาให้ความสำคัญกับฐานะและ
การดำเนินงานของสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันระบบนี้จะดูแลผู้ฝากเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากรายย่อย ซึ่งเป็นผู้ฝากส่วนใหญ่ของสถาบันการเงินที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้ดีพอ ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินในการคุ้มครองภายใต้ระบบใหม่นี้จะทำให้การแข่งขันของสถาบันการเงินเน้นการให้บริการและการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้ฝากเงินมากขึ้นด้วย
นายปิยะ ซอโสตถิกุล ผู้อำนวยการสายลูกค้าธุรกิจรายกลางต่างจังหวัด กิจการธนาคารต่างจังหวัด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง โอกาสและภาพรวมการให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดกระบี่และพังงา โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของกระบี่ ซึ่งปัจจัยหลักที่เป็นภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว และด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ และนำไปสู่การขยายฐานสินเชื่อได้ นอกจากนี้ ได้กล่าวถึง
การพัฒนาระบบการเงิน การดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบการเงิน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบสากลต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการทางการเงิน และการคุ้มครอง
เงินฝากซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับสถาบันการเงิน โดยท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน
นายสุวิทย์ พูลศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกลยุทธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้กล่าวถึงบทบาทของธนาคารเฉพาะกิจในภาคใต้ โดยที่ผ่านมา ธกส. เน้นการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ภาคเกษตร และการแก้ไขหนี้สินเกษตรกร อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ธกส. ได้กำหนดบทบาทโดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชน โดย ธกส. มีสาขาในภาคใต้ จำนวน 151 สาขา เน้นการสนับสนุนตลาดชุมชน และได้กล่าวถึงภาพรวมการให้สินเชื่อภาคใต้ว่ามีประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และการให้สินเชื่อที่จังหวัดกระบี่มีประมาณ 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาชุมชนควบคู่ไปกับการดำเนินการขยายสินเชื่อ อาทิเช่น การส่งเสริมให้มีการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในชุมชน และส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น นอกจากนี้ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ว่าจะไม่กระทบต่อผู้ฝากเงินของ ธกส. เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นรายย่อยอยู่แล้ว และระบบการคุ้มครองเงินฝากจะเป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยทางการเงินให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น ท้ายที่สุด ได้นำเสนอประเด็นท้าทายในเชิงนโยบายในการพัฒนาเกษตรกรและชุมชน เพื่อให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในส่วนการจัดระบบสงเคราะห์การทำสวนปาล์มน้ำมัน และ การจัดระบบบริหารความเสี่ยงของเกษตรกรรายย่อยโดยการจัดให้มี
การประกันภัยพืชผล และการออมเพื่อวัยชรา ซึ่ง ธกส. มีกองทุนทวีสุขเพื่อรองรับเกษตรกร
ที่ด้อยโอกาสและไม่สามารถเข้าถึงระบบการประกันได้
การจัดสัมมนาวิชาการภายใต้โครงการขยายบทบาท สศค. สู่ภูมิภาคครั้งนี้นับเป็นการจัดครั้งแรกของปีงบประมาณ 2551 หลังจากที่ได้จัดมาแล้ว 6 ครั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสงขลา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดระยอง จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดอุบลราชธานี
นอกจากการจัดสัมมนาวิชาการภายใต้โครงการขยายบทบาท สศค. สู่ภูมิภาคแล้ว สศค.
ยังได้จัดทำโครงการ สศค. ปันน้ำใจให้การศึกษาแก่เด็กน้อย โดยในครั้งนี้ ได้มอบคอมพิวเตอร์
4 เครื่องให้แก่โรงเรียนบ้านห้วยเสียด และทุนสนับสนุนการดำเนินงานของโรงเรียนจำนวน 30,000 บาท ให้แก่โรงเรียนบ้านคลองยาง จังหวัดกระบี่
ทั้งนี้ การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ณ จังหวัดกระบี่ ทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนประมาณ 200 คน สศค. จึงขอขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ และจะได้นำข้อคิดเห็น
ต่าง ๆ ที่ได้รับไปใช้ประกอบการพิจารณานำเสนอนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจการคลังที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 5/2551 10 มีนาคม 2551--