นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคม 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 (โรคโควิด 19) ได้แพร่กระจายและแพร่ระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย ส่งผลทำให้ในหลายจังหวัดมีการประกาศปิดพื้นที่และปิดสถานบริการหลายแห่ง รวมทั้งมีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2563 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้เปิดดำเนินการให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่อขอความร่วมมือเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ด้วยความสมัครใจ และเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จำนวนมากกว่า 250 ราย แจ้งตอบรับเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ทั้งในเรื่องของการพักชำระต้น การลดอัตราดอกเบี้ย และการขยายระยะเวลาการชำระหนี้
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในเดือนมีนาคม 2563 ยังคงมีผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส คือ มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,189 ราย เพิ่มขึ้น 21 รายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในจำนวนนี้เป็นผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) สะสมสุทธิ จำนวน 1,033 ราย (เพิ่มขึ้น 16 ราย) และเป็นผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัส (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)) สะสมสุทธิจำนวน 156 ราย (เพิ่มขึ้น 5 ราย) โดยรายละเอียดความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2563 สรุปได้ ดังนี้
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 มีนิติบุคคล ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,324 ราย ใน 76 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (112 ราย) กรุงเทพมหานคร (106 ราย) และขอนแก่น (66 ราย) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีจำนวนนิติบุคคลที่แจ้งคืนคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมทั้งสิ้น 135 ราย ใน 52 จังหวัด จึงคงเหลือจำนวนนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 1,189 ราย ใน 75 จังหวัด โดยมีจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 862 ราย ใน 73 จังหวัด (ขอคืนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์จำนวน 21 ราย และขอเปลี่ยนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เป็นประเภทพิโกพลัส จำนวน 36 ราย)
ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท ได้แจ้งเปิดดำเนินการแล้ว 722 ราย ใน 71 จังหวัด และมีรายละเอียด ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,033 ราย ใน 75 จังหวัด มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สุทธิทั้งสิ้น 802 ราย ใน 73 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 687 ราย ใน 70 จังหวัด
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 156 ราย ใน 54 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมและเปิดดำเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบคำขออนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสจำนวน 83 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตใหม่จำนวน 73 ราย ใน 29 จังหวัด โดยมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสแล้ว 60 ราย ใน 25 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 35 ราย ใน 19 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 2 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ และศรีสะเกษ)
(3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
(3.1) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 229,563 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 6,114.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 26,634.69 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 115,223 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 3,299.58 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 114,340 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 2,814.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
(3.2) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมจำนวนทั้งสิ้น 95,324 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 2,480.76 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมจำนวน 11,440 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 305.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.30 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 11,165 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 296.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.95 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสมสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของโครงการสินเชื่อประเภทดังกล่าวมีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวมทั้งสิ้น 624,384 ราย รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 27,366.17 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น 578,597 ราย รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 25,390.98 ล้านบาท และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบจำนวนทั้งสิ้น 45,787 ราย รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,975.19 ล้านบาทการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2563 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,448 คน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถ
ติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สายด่วน 1155
ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.)
โทร 0 2575 3344
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
ที่มา: กระทรวงการคลัง