เศรษฐกิจไทยการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 25.3 ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64ขยายตัวร้อยละ 54.9ต่อปีฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64เกินดุลจำนวน 23,132ล้านบาทภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.0ต่อปีภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน มิ.ย. 64ขยายตัวที่ ร้อยละ 8.5ต่อปีมูลค่าการส่งออกในเดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 43.8เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 53.8เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ 5,694คน ขยายตัวที่ร้อยละ 100.0ต่อปีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน มิ.ย. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ ร้อยละ 13.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย การเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64 เบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 276,298 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 25.3 ต่อปี ทำให้ 9เดือนแรกเบิกจ่ายได้ 2,389,166ล้านบาท หดตัวร้อยละ ญ1.7 คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 68.2
โดย (1) รายจ่ายปีปัจจุบัน เบิกจ่ายได้ 266,444 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 26.6 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 67.8 ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น (1.1) รายจ่ายประจำ 217,784 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 29.8 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 73.7 และ (1.2) รายจ่ายลงทุน 48,660ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.9ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 43.7 (2) รายจ่ายปีก่อน เบิกจ่ายได้ 9,854 ล้านบาท หดตัวร้อยละ ญ1.7ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 74.5ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64 ได้ 293,030ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 54.9 ต่อปี ทำให้ 9เดือนแรกจัดเก็บได้ 1,738,160 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ2.9 ต่อปี
โดยรายได้ขยายตัวจากภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ขยายตัวร้อยละ 85.3 ต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขยายตัวร้อยละ 44.2 ต่อปี และภาษีกรมสรรพสามิต ขยายตัวร้อยละ 40.0 ต่อปี จากการเลื่อนการชำระภาษีเบียร์ และภาษีรถยนต์ รวมทั้งการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน มิ.ย. ปีงบประมาณ 64 พบว่า ดุลเงินงบประมาณเกินดุลจำนวน 23,132 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่เกินดุลแล้วพบว่า ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล ญ6,532ล้านบาท โดยในเดือนนี้ รัฐบาลมีการกู้เงิน 99,000ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสุดหลังกู้ขาดดุล ญ92,468ล้านบาท ทั้งนี้จำนวนเงินคงคลังอยู่ที่ 460,366ล้านบาท เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.0ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล ตัวที่ร้อยละ 7.4 การจัดเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือน มิ.ย.64 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนในเกือบทุกหมวดการจัดเก็บ โดยเฉพาะในหมวดการจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลธรรมดา ขยายตัวถึงร้อยละ 26.4 จากหดตัวร้อยละ -0.7 ในเดือน พ.ค.64 โดยการขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ยังคงได้รับผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ที่มีความรุนแรงและขยายวงกว้างยิ่งขึ้น จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักตอกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ลดลง และจะกระทบต่อการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงอย่างอสังหาริมทรัพย์ให้ชะลอลงตามไปด้วย โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากใช้จ่ายภายในประเทศหดตัวที่ร้อยละ -12.8 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก*ปัจจัยฐานสูง เนื่องจากปีที่แล้วมีการขยายเวลาการยื่นแบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษี มี.ค. 63และ เม.ย. 63ออกไป ส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่มบางส่วนถูกนำมาคำนวณในเดือนภาษี พ.ค. 63และ มิ.ย. 63 *การแพร่ระบาดระลอกที่ 3ทำให้การเดินทางและ การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงอย่างไรก็ดี ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าสามารถขยายตัวได้สูงที่ร้อยละ 47.0 ต่อปี จากทั้งปัจจัยฐานต่ำในปีที่แล้ว และการนำเข้าของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้สามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี
ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวร้อยละ 8.5 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาล
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยมูลค่าการส่งออกในเดือน มิ.ย. 64 มีมูลค่า 23,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 43.8 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยยังคงเป็นระดับการขยายตัวที่สูงสุดในรอบเกือบ 11 ปี นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 53 มูลค่าการนำเข้าในเดือน มิ.ย. 64 มีมูลค่า 22,754 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงที่ร้อยละ 53.8 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับสินค้าสำคัญที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกในเดือนดังกล่าว อาทิ กลุ่มผักและผลไม้ (+110%) กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ (+114%) กลุ่มรถยนต์อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ (+79%) กลุ่มเครื่องคอมฯ (+22%) กลุ่มเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (+73%) ยางพารา (+112%) ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง (+82%) น้ำตาลทราย (+19%) เป็นต้น เมื่อพิจารณาจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า มีการขยายตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน และเอเชียใต้ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 41.2 42.0 32.3 46.5 42.8 และ 125.7 ต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 64 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 15.5 ต่อปีจากการขยายตัวของกลุ่มสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้า เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าช่วงครึ่งแรกของปี 64 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 26.2 ต่อปี สำหรับดุลการค้า ในเดือน มิ.ย. 64 ยังคงเกินดุลที่มูลค่า 945 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้าสะสมของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 64 เกินดุลมูลค่า 2,439 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือน มิ.ย. 64 ประกอบด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศ มีจำนวน 5,694คน ขยายตัวที่ร้อยละ 100 ต่อปี จากเดือน มิ.ย.63นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยจำนวนข้างต้นลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในต่างประเทศและภายในประเทศ ประกอบกับมาตรการทางสาธารณสุขที่มีการเพิ่มวันกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเป็น 14วันเหมือนเดิม (จากเดิม 7-10 วัน) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 64 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรเมียนมาร์ตะวันออกลาง และจีน ทั้งนี้ ภาพรวมไตรมาสที่ 2 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 20,275คน
ขณะที่วันที่ 1ก.ค. 64ได้มีการเปิดโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" และ "สมุยพลัส" เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งในส่วนของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้วตั้งแต่วันที่ 1-22 ก.ค. 64จำนวน 9,530คน และมียอดการจองห้องพักตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. 64แล้วจำนวน 254,700 คืน เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน มิ.ย. 64 มีจำนวน 24,892 คัน ขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ขยายตัวที่ร้อยละ 27.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำ เนื่องจากในปีที่แล้วโรงงานบางส่วนหยุดการผลิตลงชั่วคราว ประกอบกับผู้บริโภคลดการใช้จ่ายในสินค้าที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งภาคการผลิตในช่วงนี้กำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิต อย่างไรก็ดี ตลาดรถยนต์ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากกิจกรรมส่งเสริมการขายของบริษัทรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน มิ.ย. 64 มีจำนวน 42,436 คัน ขยายตัวร้อยละ 13.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาล ตามปริมาณการจำหน่ายรถกระบะ 1 ตัน ที่ขยายตัวร้อยละ 12.1เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือน มิ.ย. ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนทื่4 หลังยังคงได้รับปัจจัยบวกจากฐานที่ต่ำในปีก่อน แต่การระบาดจากโควิดรอบใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้ต้องจำกัดการดำเนินทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง คาดว่าจะทำให้ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามายังพื้นที่"ภูเก็ต แซนด์บอกซ์" การส่งออกที่ยังเติบโตตามเศรษฐกิจโลก และ ความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในประเทศ จะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ช่วยฟืนความเชื่อมั่น รวมถึงการจับจ่ายให้กลับมาได้ในช่วงที่เหลือของปี เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ ยอดสร้างบ้านใหม่ เดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 29.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นขยายตัวที่ร้อยละ 6.3 จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว)เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 2.1 จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) เป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 3เดือนเป็นผลจากยอดการสร้างบ้านเดี่ยวและคอนโดที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในตลาดที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยังคงเผชิญปัญหาการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างและขาดแคลนแรงงานยอดใบอนุญาตก่อสร้างบ้านใหม่ เดือน มิ.ย. 64หดตัวที่ร้อยละ -5.1จาก เดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว)หดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -2.9จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) และเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 4เดือน โดยเป็นการปรับตัวลดลงในทุกประเภทบ้านยอดขายบ้านมือสอง เดือน มิ.ย. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 22.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 1.4จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -1.2 จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) และเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5เดือน เป็นผลจากอุปทานในตลาดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากยอดการสร้างบ้านใหม่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (11-17ก.ค. 64) อยู่ที่ 4.19แสนราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ที่ 3.68แสนราย ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 2 เดือนและสูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ ที่อยู่ที่ระดับ 2.3 แสนรายอัตราเงินเฟ้อ เดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 0.2จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -0.1จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกหลังหดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน โดยได้ปัจจัยหนุนจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการบริโภคที่ฟืนตัวตามการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 มูลค่าการส่งออก เดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 48.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 49.6จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการมีฐานต่ำและเป็นการขยายตัวตามตลาดการค้าโลกที่เริ่มฟืนตัวมูลค่าการนำเข้า เดือน มิ.ย. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 32.7จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 27.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดุลการค้า เดือน มิ.ย. 64กลับมาเกินดุลที่ 3.83แสนล้านเยน หลังขาดดุลในเดือนก่อนหน้าที่ -1.89 แสนล้านเยนอัตราเงินเฟ้อ เดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 4.4 เนื่องจากราคาค่าขนส่งและอาหารเป็นสำคัญ
ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟืนตัวทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
อัตราเงินเฟ้อ เดือนมิ.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 2.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน คงที่จากเดือนก่อนหน้าดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน มิ.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 6.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อัตราเงินเฟ้อ เดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการมีฐานต่ำจากมาตรการสนับสนุนค่าไฟเมื่อปีที่แล้ว อัตราการว่างงาน เดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 5.5 ของกำลังแรงงานรวม ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 6.0 ของกำลังแรงงานรวม ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 สะท้อนการฟืนตัวทางเศรษฐกิจที่ดี หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทยอยปรับตัวลดลงอัตราการว่างงาน เดือน มิ.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 4.76ของกำลังแรงงานรวมปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 4.15ของกำลังแรงงานรวม และเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 53จากการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่ และการยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดอีกครั้ง
เครื่องชี้ตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนดัชนี SET ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนเล็กน้อย สอดคล้องกับ ตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง เช่น Nikkei225(ญี่ปุ่น) HSI(ฮ่องกง) และ TWSE(ไต้หวัน)เป็นต้น ในสัปดาห์นี้ดัชนี SET ปรับตัวลดงลงช่วงต้นสัปดาห์ และทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 22ก.ค. 64 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,552.38จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยระหว่างวันที่ 19-22ก.ค. 64อยู่ที่ 75,764.07 ล้านบาทต่อวัน โดยนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ขายสุทธิ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศ และนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ เป็นผู้ซื้อสุทธิ ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 19-22ก.ค. 64 ต่างชาติ ขายหลักทรัพย์สุทธิ -3,983.62ล้านบาทอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุต่ำกว่า 7ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 bps ขณะที่อายุ 7ปีขึ้นโดยรวมปรับตัวลดลงในช่วง -1 ถึง -11bpsโดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนมีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 4และ 30ปี ซึ่งมีนักลงทุนสนใจ 1.8และ 3.8เท่าของวงเงินประมูลตามลำดับ ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 19-22ก.ค. 64 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 8,204.36ล้านบาทและหากนับจากต้นปีจนถึงวันที่ 22ก.ค. 64 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 61,268.38ล้านบาทเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อน โดย ณ วันที่ 22ก.ค. 64 เงินบาทปิดที่ 32.85บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ -0.62จากสัปดาห์ก่อนหน้า สอดคล้องกับเงินสกุลอื่น ๆ อาทิ เงินสกุลเยน ยูโรริงกิต วอน ดอลลาร์สิงคโปร์ และหยวน ที่ปรับตัวอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่าเงินสกุลหลักอื่น ๆ ในภูมิภาค ส่งผลให้ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER)อ่อนค่าลงร้อยละ -0.28จากสัปดาห์ก่อน
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง