เศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค. 64มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศจำนวน 15,105คน ขยายตัวที่ร้อยละ 100ต่อปีมูลค่าการส่งออกในเดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน ปีก่อน ขณะที่มูลค่าการนำเข้าในเดือน ส.ค. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 47.9เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมในเดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 13.8ต่อปีขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรกรรมในเดือน ส.ค. 64หดตัวที่ร้อยละ -6.4ต่อปีดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ส.ค. 64 หดตัวที่ร้อยละ -4.1ต่อปีปริมาณการจำหน่ายเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กรวมภายในประเทศเดือน ส.ค. 64 หดตัวที่ร้อยละ -2.9 ต่อปีการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 36.7 ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 หดตัวที่ร้อยละ -29.0ต่อปีฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 ขาดดุลจำนวน -78,224ล้านบาทหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน ส.ค. 64 อยู่ที่ร้อยละ 57.0 ของ GDP ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน ส.ค. 64ขยายตัวที่ร้อยละ 12.4ต่อปีภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ส.ค. 64หดตัวร้อยละ -8.3ต่อปี เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
เดือน ส.ค. 64จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เดือน ส.ค. 64มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (SpecialTouristVisa:STV)นักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (ThailandPrivilegeCard)นักธุรกิจ และกลุ่มสุขภาพเดินทางเข้าประเทศจำนวน 15,105คน ลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย โดยเป็นผลมาจากจากสถานการณ์โควิด-19ในประเทศไทย ทั้งนี้ขยายตัวที่ร้อยละ 100 ต่อปี เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำ โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจาก สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิสราเอล และจีน อีกทั้งในจำนวนนี้ยังเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาตามโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" 12,345คน ซึ่งโครงการดังกล่าวเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยว จ. ภูเก็ต โดยไม่ต้องกักตัวและเมื่อครบ 14วันแล้วก็สามารถเดินทางไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้
ขณะที่การท่องเที่ยวของชาวไทย สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยในเดือน ส.ค. อยู่ที่ 893,565 คน หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยหดตัวที่ร้อยละ -92.0ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในประเทศไทย ทำให้ ศบค. มีมติล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงสูงตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 64 เป็นต้นมา ขณะที่วันที่ 21 ก.ค. 64 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAATประกาศควบคุมเที่ยวบินเข้าออกพื้นที่สีแดงเข้ม โดยห้ามสายการบินพาณิชย์ทุกสายการบินให้บริการเที่ยวบินในประเทศทั้งหมดเบื้องต้น 14วัน ยกเว้นแต่เป็นเที่ยวบินที่เกี่ยวกับพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ หรือลงจอดกรณีฉุกเฉิน
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
มูลค่าการนำเข้าในเดือน ส.ค. 64 มีมูลค่า 23,192 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงที่ร้อยละ 47.9 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับสินค้าสำคัญที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกในเดือนดังกล่าว อาทิ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (17.8%) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (10.5%) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน (68.3%) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (44.3%) อัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ (35.7%) กลุ่มผักผลไม้ฯ (84.8%) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (48.4%) ข้าว (25.4%) ยางพารา (98.8%) และอาหารสัตว์เลี้ยง (17.3%) เป็นต้น เมื่อพิจารณาจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า มีการขยายตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อินเดีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 15.3 ต่อปี จากการขยายตัวของสินค้านำเข้าสำคัญที่ขยายตัวได้ดีทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าเชื้อเพลิง (81.8%) กลุ่มสินค้าทุน (23.8%) กลุ่มสินค้าวัตถุดิบฯ (65.7%) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (18.5%) กลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ฯ (47.3%) ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 31.0 ต่อปี สำหรับดุลการค้า ในเดือน ส.ค. 64 ขาดดุลมูลค่า -1,216 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้าสะสมของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 เกินดุลมูลค่า 1,407 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมในเดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 13.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -0.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลัง ขจัดผลทางฤดูกาลดัชนีราคาสินค้าเกษตรกรรมในเดือน ส.ค. 64 หดตัวที่ร้อยละ -6.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -3.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลัง ขจัดผลทางฤดูกาล หากพิจารณารายหมวดผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน ส.ค. 64พบว่า ผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมขยายตัวในหมวดพืชผลสำคัญและหมวดปศุสัตว์ที่ร้อยละ 20.6 และ 3.3ตามลำดับ ขณะที่ผลผลิตในหมวดประมงหดตัวที่ร้อยละ -13.6โดยสินค้าเกษตรสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือก ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กลุ่มไม้ผล ไก่ และสุกร ขณะที่สินค้าสำคัญที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ กุ้งขาวแวนนาไมหากพิจารณารายหมวดราคาสินค้าเกษตรในเดือน ส.ค. 64 พบว่า ดัชนีราคาสินค้าเกษตรหดตัวในทุกหมวดสินค้า โดยหมวดพืชผลสำคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง หดตัวที่ร้อยละ -6.8 -5.3 และ -10.1 ตามลำดับโดยสินค้าเกษตรสำคัญที่ราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และไข่ไก่ ขณะที่สินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก สุกร ไก่ กลุ่มไม้ผล และกุ้งขาวแวนนาไม เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ส.ค. 64 หดตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -4.1ต่อปี และหดตัวร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลของฤดูกาล
การขยายตัวของดัชนี MPIในเดือน ส.ค. 64 เป็นผลมาจากการหดตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม อุตสาหกรรมจักรยานยนต์อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่และน้ำดื่ม บรรจุขวด และอุตสาหกรรมมอลต์และสุราที่ทำจากข้าวมอลต์ที่หดตัวร้อยละ -9.8 -6.8 -45.5 -17.1 และ -30.1 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรมพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น และอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ขยายตัวร้อยละ 12.5 12.1 11.9 6.1 และ 47.1 ต่อปี ตามลำดับปริมาณการจำหน่ายเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กรวมภายในประเทศเดือน ส.ค. 64หดตัวร้อยละ -2.9 ต่อปี แต่ขยายตัวร้อยละ 8.1 เทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาลปริมาณการจำหน่ายเหล็กในประเทศหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการหดตัวต่อเนื่องของเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กเส้นข้ออ้อย และเหล็กลวด ที่หดตัวร้อยละ -48.7 และ -12.4 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การจำหน่ายเหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมยังมีทิศทางขยายตัวได้ต่อเนื่องทำให้การจำหน่ายเหล็กภาพรวมในประเทศหดตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ในระยะถัดไป การผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นตามสถานการณ์การระบาดมีแนวโน้มลดลง น่าจะช่วยฟืนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจภาพรวม รวมถึงภาคการก่อสร้าฃงให้ฟืนตัวได้มากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 64
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 เบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 251,010 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 36.7ต่อปี ทำให้ 11เดือนแรกเบิกจ่ายได้ 2,905,930ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.1คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 83.0 โดย (1) รายจ่ายปีปัจจุบัน เบิกจ่ายได้ 243,493 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 39.8 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 83.2 ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น (1.1) รายจ่ายประจำ 203,554 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 60.1 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 89.9 และ (1.2) รายจ่ายลงทุน 39,939 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -15.0 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 55.7(2) รายจ่ายปีก่อน เบิกจ่ายได้ 7,517 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -20.7ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 80.4ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 ได้ 182,829ล้านบาท หดตัวร้อยละ -29.0 ต่อปี ทำให้ 11เดือนแรกจัดเก็บได้ 2,105,023 ล้านบาท หดตัวร้อยละ-2.6 ต่อปีโดยรายได้หดตัวจากภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ -54.5ต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหดตัวร้อยละ -17.6ต่อปี และกรมสรรพสามิตหดตัวร้อยละ -18.4ต่อปี เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ส.ค. ปีงบประมาณ 64 พบว่า ดุลเงินงบประมาณขาดดุลจำนวน -78,224 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณแล้วพบว่าเกินดุล 66,066 ล้านบาท ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล -12,158 ล้านบาท โดยในเดือนนี้ รัฐบาลมีการกู้เงิน 67,400 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสุดหลังกู้ขาดดุล 55,242 ล้านบาท ทั้งนี้จำนวนเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ 499,342ล้านบาทหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน ส.ค. 64 มีจำนวนทั้งสิ้น 9,159,513.19 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 57.01 ของ GDPและเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 250,449.41ล้านบาท
ทั้งนี้ สถานะหนี้สาธารณะของไทยถือว่ามีความมั่นคง สะท้อนได้ จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบวินัยในการบริหารหนี้สาธารณะที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 70 ของ GDP และหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว โดยแบ่งตามอายุคงเหลือ คิดเป็นร้อยละ 86.59 ของยอดหนี้สาธารณะและเป็นหนี้ในประเทศคิดเป็นร้อยละ 98.3ของยอดหนี้สาธารณะ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 12.4 ต่อปี แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล ขยายตัวที่ร้อยละ -2.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าที่ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 46.7ต่อปี จากปัจจัยฐานต่ำจากปีก่อน และทิศทางการนำเข้าที่ยังคงขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในประเทศหดตัวที่ร้อยละ -4.9 ต่อปี จากปัจจัยฐานสูงในปีก่อนที่มีปัจจัยพิเศษ จำนวน 3,198 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ภาษีมูลค่าที่จัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในช่วง 2เดือนแรกของไตรมาสที่ 3ปี 64 ยังคงสามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 17.4ต่อปีการจัดเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือน ส.ค. 64 หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในทุกหมวดการจัดเก็บ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะที่หดตัวร้อยละ -5.3 จากช่วงเดียวกัน ปีก่อน จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อรายได้ การจ้างงาน และกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามการกระจายและฉีดวัคซีนที่มีความต่อเนื่อง รวมถึงการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมค่อย ๆ ฟืนตัวขึ้นในช่วงถัดไปภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ส.ค. 64 หดตัวร้อยละ -8.3 ต่อปี และหดตัวร้อยละ -4.2 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาล เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
ดัชนีราคากลางบ้าน เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.4จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.7จากเดือนก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) โดยดัชนีปรับตัวชะลอลงในแทบทุกเขต ยกเว้นเขต SouthAtlanticและ ฐNew Englandที่เร่งขึ้น ทั้งนี้ หากเทียบเป็นรายปีจะคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 19.2 สจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (19-25ก.ย. 64) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4มาอยู่ที่ 3.62แสนรายสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.48แสนราย และเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ที่ 3.51แสนราย โดยยังคงมีความกังวล และมีความต้องการการดูแลในสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เพิ่มมากขึ้น
ดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม (NBS)เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 49.6 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 50.1 จุด และเป็นการลดลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาคอขวดในการผลิตและโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าดัชนีฯ PMIนอกภาคอุตสาหกรรม (NBS)เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 53.2จุด กลับมาจเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 47.5จุดจากดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในหมวดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ คำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออก และการจ้างงาน เป็นสำคัญดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม (Caixin)เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 50.0 จุด กลับมาเพิ่มขึ้นหลังลดลงติดต่อกัน 3 เดือน โดยดัชนีในเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 49.2จุด จากคำสั่งซื้อใหม่ที่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน และระดับการบริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญยอดค้าปลีก เดือน ส.ค. 64 หดตัวร้อยละ -3.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก การเพิ่มสูงขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19สายพันธุ์เดลต้าอัตราว่างงาน เดือน ส.ค. 64 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ของกำลังแรงงานรวม ทรงตัวจากเดือนก่อนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ -4.0 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค. 64 ที่อยู่ที่ระดับ -5.3จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วไปอัตราการว่างงาน เดือน ส.ค. 64 อยู่ที่ร้อยละ 7.5 ของกำลังแรงงานรวม ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่อยู่ที่ร้อยละ 7.6ของกำลังแรงงานรวม แสดงให้เห็นถึงการฟืนตัวของตลาดแรงงานเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศGDPไตรมาสที่ 3 ปี 64 หดตัวที่ร้อยละ -6.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.6จากช่วงเดียวกันปีก่อน นับเป็นการหดตัวมากที่สุดตั้งแต่ประเทศเริ่มบันทึกตัวเลขรายไตรมาส ที่มีรายงานในปี 2529 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 หดตัวที่ร้อยละ -5.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหดตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -7.8เนื่องจากผลผลิตของสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสำคัญมูลค่าการส่งออก เดือน ก.ย. 64 หดตัวที่ร้อยละ -0.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน หดตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -1.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ก.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 9.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 20.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนดุลการค้า เดือน ก.ย. 64 เกินดุลที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุล -109.1ล้านดอลลาร์สหรัฐยอดค้าปลีก เดือน ก.ย. 64 หดตัวที่ร้อยละ -28.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหดตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -33.7เนื่องจากยอดขายสินค้าประเภทที่พักและการบริการอาหารเป็นสำคัญอัตราเงินเฟ้อ เดือน ก.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 2.8จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยและวัสดุก่อสร้างเป็นสำคัญดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 50.9 จุด คงที่จากเดือนก่อนหน้ามูลค่าการส่งออก เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 18.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 5.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 12.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 23.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดุลการค้า เดือน ส.ค. 64 เกินดุลที่ 21.4 พันล้านริงกิตมาเลเซียเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 13.8 พันล้านริงกิตมาเลเซียดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 48.1 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 43.4จุดเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 52.2 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 43.7จุด เนื่องจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ของประเทศอัตราเงินเฟ้อ เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน คงที่จากเดือนก่อนหน้าปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 7.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ร้อยละ 8.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนยอดค้าปลีก เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 103.8 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 102.5จุด จากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วดัชนีฯ PMIภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 52.4 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.2จุด จากผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากมูลค่าการส่งออก เดือน ก.ย. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 16.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 34.8จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ก.ย. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 31.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 44.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามการฉีดวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้นดุลการค้า เดือน ก.ย. 64 เกินดุลที่ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 1.67พันล้านดอลลาร์สหรัฐยอดค้าปลีก เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 10.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสินค้าในกลุ่ม อัญมณีและเครื่องประดับ เชื้อเพลิง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสำคัญมูลค่าการส่งออก เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 25.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 26.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการนำเข้า เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 28.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 26.1จากช่วงเดียวกันของปีก่อนดุลการค้า เดือน ส.ค. 64 ขาดดุลที่ -26.3 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกงลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลที่ -34.9พันล้านดอลลาร์ฮ่องกงเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศดัชนี PMIภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 50.9 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 46.4จุดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ส.ค. 64 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 13.69 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 14.36จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการผลิตที่ชะลอตัวลงในกลุ่มอุตสาหกรรม และการทำเหมืองแร่ เป็นสำคัญยอดค้าปลีก เดือน ส.ค. 64 หดตัวอยู่ที่ระดับ -4.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -9.6จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายในกลุ่มพลังงานเชื้อเพลงที่ขายตัวเพิ่มขึ้น เป็นสำคัญดัชนีฯ PMI ภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. 64 อยู่ที่ระดับ 54.7 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 58.5 จุด และเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 63 ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 64 ขยายตัวร้อยละ 23.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 5.5เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤกาลแล้ว)เครื่องชี้ตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนเล็กน้อยสอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน เช่นNikkei225(ญี่ปุ่น)HSI(ฮ่องกง) และ CSI300(เซี่ยงไฮ้) เป็นต้น เมื่อวันที่ 30ก.ย. 64 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,619.59จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยระหว่างวันที่ 27-30ก.ย. 64อยู่ที่ 104,629.74ล้านบาทต่อวันโดยนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ เป็นผู้ขายสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนทั่วไปในประเทศ และนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ซื้อสุทธิทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 27-30ก.ย. 64 ต่างชาติ ขายหลักทรัพย์สุทธิ -622.54ล้านบาทอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง1ถึง 23bpsโดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนไม่มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 27-30ก.ย. 64 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลออกจากตลาดพันธบัตรสุทธิ -11,107.41 ล้านบาทและหากนับจากต้นปีจนถึงวันที่30ก.ย. 64 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 65,020.93ล้านบาทเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อน โดย ณ วันที่ 30ก.ย. 64 เงินบาทปิดที่ 33.90บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ -1.19จากสัปดาห์ก่อนหน้า สอดคล้องกับเงินสกุลยูโร ริงกิตวอน ดอลลาร์สิงคโปร์ และหยวน ที่ปรับตัวอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อน เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่าเงินสกุลหลักอื่น ๆ ในภูมิภาค ส่งผลให้ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER)อ่อนค่าลงร้อยละ -0.47จากสัปดาห์ก่อน
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง