ฉบับที่ 129/2565 วันที่ 7 กันยายน 2565 ความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 และขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 โดย ณ วันอังคารที่ 6 กันยายน 2565 เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้นจำนวน 17.46 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวม 9,240.4 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 4,677.2 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 4,563.2 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับยอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 3,256.3 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 2,246.4 ล้านบาท ร้าน OTOP 495.6 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 3,090.0 ล้านบาท ร้านบริการ 145.7 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 6.4 ล้านบาท ทั้งนี้ มีประชาชนได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 ทั้งสิ้นจำนวน 23.27 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนรายเดิมที่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 (ประชาชนรายเดิมฯ) จำนวน 23.07 ล้านราย จึงขอเชิญชวนประชาชนรายเดิมฯ อีกประมาณ 3 ล้านราย ที่ยังไม่ได้กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 สามารถกดยืนยันสิทธิผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ตลอด 24 ชั่วโมง โฆษกกระทรวงการคลังย้ำถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 ว่า การใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 จะต้องเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการเฉพาะบริการนวด สปา ทำผม ทำเล็บ และบริการขนส่งสาธารณะ ไม่รวมสินค้าสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า โดยผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการแบบพบหน้า (Face-to-face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มที่เข้าร่วมโครงการ โดยการใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มนั้น รัฐจะสนับสนุนเงินในส่วนของค่าอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และจะต้องเป็นการซื้อขายกันจริงที่ประชาชนผู้สั่งและผู้ประกอบการร้านค้าผู้ขายไม่ได้อยู่ ณ สถานที่เดียวกันและประชาชนผู้สั่งและผู้ประกอบการร้านค้าผู้ขายไม่ใช่บุคคลเดียวกัน รวมทั้งห้ามมีการรับหรือเรียกเงินทอนเป็นเงินสดหรือเรียกประโยชน์รูปแบบอื่นใดจากการซื้อขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ไม่ว่ากรณีใด นอกจากนี้ ห้ามผู้ประกอบการร้านค้าปฏิเสธการใช้สิทธิตามโครงการของลูกค้าหากยังมีสิทธิเหลืออยู่ รวมถึงผู้ประกอบการจะต้องรับชำระค่าสินค้าหรือบริการตามราคาของสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เท่านั้น โดยหากพบว่า มีการเพิ่มราคาสินค้าหรือคิดค่าบริการ/ค่าธรรมเนียมกับลูกค้าที่ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 จะเข้าข่ายเป็นการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการ โดยผู้ประกอบการร้านค้าอาจถูกระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการและเรียกเงินสนับสนุนที่ได้รับจากภาครัฐคืนต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ไม่เป็นการเอาเปรียบประชาชนและไม่ทำลายบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยตามวัตถุประสงค์ของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 โฆษกกระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 อย่างเคร่งครัด ซึ่งประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าสามารถศึกษารายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ได้จากเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังคงเปิดรับแจ้งเบาะแสผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนมาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง โดยหากตรวจสอบพบการกระทำผิด จะระงับการใช้แอปพลิเคชันถุงเงินและระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 รวมถึงเรียกเงินคืน พร้อมทั้งจะนำส่งข้อมูลหลักฐานการกระทำความผิดให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อใช้สำหรับการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปด้วย
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3502 3503 3506 3536 3542 3518 หรือ
โทร. 08-5842-7102, 08-5842-7103, 08-5842-7104, 08-5842-7105,
08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 (เวลาทำการ 08.30 ? 16.30 น.)
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ที่มา: กระทรวงการคลัง