วันที่ 1 เมษายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะเร่งดำเนินการในปีแรกตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยจะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการในระดับฐานราก ผ่านการสร้างงานและอาชีพ สร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและวิสาหกิจขนาดเล็กในครัวเรือน โดยมีสาระสำคัญของมาตรการดังนี้
1. โครงการด้านสินเชื่อฐานราก ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย คือ
(1) โครงการฟื้นฟูและพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจน เป็นโครงการที่มีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายย่อยและยากจนที่มีหนี้เงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะพักหนี้เกษตรกรที่มีปัญหาหนี้สินค้างชำระอันเนื่องจากเหตุสุจริตและจำเป็นจำนวนประมาณ 336,633 ราย ต้นเงินกู้คงค้างเป็นเงินประมาณ 17,990 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยจะมีการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพของครัวเรือนเกษตรกร พัฒนาความรู้ ศักยภาพในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะดำเนินการคัดเลือกและประเมินศักยภาพลูกค้าที่ต้องได้รับการพักหนี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีความจำเป็นและสมควรได้รับการฟื้นฟูอย่างแท้จริง อนึ่งในการดำเนินโครงการดังกล่าว รัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณชดเชยให้ ธ.ก.ส. ตามความเหมาะสมต่อไป
(2) โครงการธนาคารประชาชน โดยธนาคารออมสิน เป็นโครงการต่อเนื่องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระจายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการลงทุนประกอบธุรกิจ ซึ่งธนาคารออมสินได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2544 โดยในปี 2551 ได้ตั้งเป้าหมายสินเชื่อจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้บริการแก่ผู้กู้ประมาณ 250,000 ราย คิดเป็นผู้ได้รับประโยชน์ซึ่งรวมถึงสมาชิกในครอบครัวประมาณ 1 ล้านคน นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีโอกาสสร้างอาชีพและรายได้มากยิ่งขึ้น ได้แก่ ลดดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี ตามกรณีอายุสัญญา เพิ่มความรวดเร็วการอนุมัติสินเชื่อและขยายพื้นที่ในการให้บริการ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการชำระเงิน เป็นต้น
(3) โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นโครงการที่สนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ได้แก่ โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก วงเงินปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ทั้งหมด 10,000 ล้านบาท โดยเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราของธนาคารตามปกติ กลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท วงเงินไม่เกินรายละ 600,000 บาท นอกจากนี้ ธอส. ยังคงให้กู้แก่โครงการอื่นๆ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและโครงการใหม่ เช่น โครงการ ธอส-กบข. ครั้งที่ 5 วงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการสมาชิก กบข. และข้าราชการไม่เป็นสมาชิก กบข. จำนวน 17,500 ราย โครงการบ้านเอื้ออาทร เฟส 2 วงเงิน 20,000 ล้านบาท โครงการบ้าน ธอส.-สปส. เพื่อที่อยู่อาศัยของผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคม จำนวนประมาณ 18,000 ราย วงเงิน 10,000 ล้านบาท เป็นต้น
(4) โครงการสินเชื่อเพื่อเกษตรกรของ ธ.ก.ส. เป็นโครงการที่มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการประกอบอาชีพและกิจกรรมของเกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในปีบัญชี 2550 (เริ่มต้นเมษายน 2550 ถึงกุมภาพันธ์ 2551 รวม 11 เดือน) ธ.ก.ส. สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ถึง 250,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายการอนุมัติสินเชื่อในปีบัญชี 2551 จำนวน 325,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกพืชทดแทนพลังงาน วงเงิน 25,000 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลร่วมกับกระทรวงพลังงาน โดยเงินกู้ในโครงการในปี 2551 จำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิต เอทานอลแก่เกษตรจำนวนประมาณ 200,000 ราย เป็นวงเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชน โดยมีจำนวนกลุ่มอาชีพและกลุ่มการเงินที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีไม่น้อยกว่า 12,000 กลุ่ม เป็นเงิน 5,450 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ เป้าหมายการอนุมัติสินเชื่อเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากโดยรวมทั้ง 3 ธนาคาร ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน และ ธอส. ในปี 2551 รวมทั้งสิ้น 569,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 14.8 อย่างไรก็ดี เป้าหมายสินเชื่อดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งหมด โดยในปี 2551 สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังมีเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ SMEs การสนับสนุนการส่งออกและอื่นๆ อีกประมาณ 94,915 ล้านบาท รวมเป็นสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งสิ้น 664,615 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มเงินทุนและการจัดการเรียนรู้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นมาตรการในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการเพิ่มศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุน สร้างงานและอาชีพ ให้แก่ประชาชนในชุมชนและวิสาหกิจขนาดเล็กในครัวเรือน รวมถึงการพัฒนากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีการบริหารจัดการที่ดีให้สามารถยกระดับเป็นสถาบันการเงิน โดยการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านฯ สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งใหม่ภายในเดือนธันวาคม 2550 ประมาณ 1,600 แห่ง โดยใช้วงเงินกู้จากธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. จำนวนรวม 7,769.61 ล้านบาท พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทยฯ และสถาบันการเงินอื่นร่วมประเมินศักยภาพกองทุนหมู่บ้านฯ และวางแผนการดำเนินงานหรือวิธีปฏิบัติในการส่งเสริมศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านฯ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่จะได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนสินเชื่อเพิ่ม/ต่อยอดแก่กองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพิ่ม/ต่อยอดแก่กองทุนหมู่บ้านฯ ไว้แล้วอีก 4,000 ล้านบาท และ 16,000 ล้านบาทตามลำดับ นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือกองทุนหมู่บ้านฯ ในการยกระดับศักยภาพกองทุนหมู่บ้านฯ เป็นสถาบันการเงินชุมชนที่ถาวรต่อไป
3. โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 เห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข และขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในวงเงินจำนวน 40,000 ล้านบาทนั้น เพื่อความชัดเจน และความโปร่งใสของโครงการ รัฐบาลจึงได้กำหนดเงื่อนไขในการพิจารณาโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ การกำหนดกลไกสำหรับการเบิกจ่ายโดยการเปิดบัญชีของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. หรือธนาคารกรุงไทย และให้มีการบันทึกการเบิกจ่ายและติดตามผลในระบบ GFMIS เพื่อการกำกับดูแลตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้อย่างทันการณ์ โดยให้ ธ.ก.ส. หรือสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายและเป็นพี่เลี้ยงแก่หมู่บ้าน/ชุมชน สามารถพิจารณาจัดสรรวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่หมู่บ้านและชุมชนได้
กระทรวงการคลังเห็นว่าเมื่อมีการบูรณาการของมาตรการเพื่อสนับสนุนแหล่งเงินสำหรับประชาชนและธุรกิจฐานรากแล้ว และการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน 4 ปีข้างหน้า ประชาชนและธุรกิจระดับฐานรากจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมอย่างทั่วถึง สร้างรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้มีการอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และกำกับดูแลให้มีการบริหารความเสี่ยง และติดตามประเมินผลโครงการต่างๆ อย่างใกล้ชิด และหากมีความจำเป็นกระทรวงการคลังจะพิจารณาการเพิ่มทุนหรือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อดูแลและสนับสนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายภายใต้ความมั่นคงทางการเงิน
สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3233 / 3243
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 22/2551 1 เมษายน 51--
1. โครงการด้านสินเชื่อฐานราก ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย คือ
(1) โครงการฟื้นฟูและพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจน เป็นโครงการที่มีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายย่อยและยากจนที่มีหนี้เงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะพักหนี้เกษตรกรที่มีปัญหาหนี้สินค้างชำระอันเนื่องจากเหตุสุจริตและจำเป็นจำนวนประมาณ 336,633 ราย ต้นเงินกู้คงค้างเป็นเงินประมาณ 17,990 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยจะมีการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพของครัวเรือนเกษตรกร พัฒนาความรู้ ศักยภาพในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะดำเนินการคัดเลือกและประเมินศักยภาพลูกค้าที่ต้องได้รับการพักหนี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีความจำเป็นและสมควรได้รับการฟื้นฟูอย่างแท้จริง อนึ่งในการดำเนินโครงการดังกล่าว รัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณชดเชยให้ ธ.ก.ส. ตามความเหมาะสมต่อไป
(2) โครงการธนาคารประชาชน โดยธนาคารออมสิน เป็นโครงการต่อเนื่องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระจายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการลงทุนประกอบธุรกิจ ซึ่งธนาคารออมสินได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2544 โดยในปี 2551 ได้ตั้งเป้าหมายสินเชื่อจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้บริการแก่ผู้กู้ประมาณ 250,000 ราย คิดเป็นผู้ได้รับประโยชน์ซึ่งรวมถึงสมาชิกในครอบครัวประมาณ 1 ล้านคน นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีโอกาสสร้างอาชีพและรายได้มากยิ่งขึ้น ได้แก่ ลดดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี ตามกรณีอายุสัญญา เพิ่มความรวดเร็วการอนุมัติสินเชื่อและขยายพื้นที่ในการให้บริการ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการชำระเงิน เป็นต้น
(3) โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นโครงการที่สนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ได้แก่ โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก วงเงินปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ทั้งหมด 10,000 ล้านบาท โดยเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราของธนาคารตามปกติ กลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท วงเงินไม่เกินรายละ 600,000 บาท นอกจากนี้ ธอส. ยังคงให้กู้แก่โครงการอื่นๆ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและโครงการใหม่ เช่น โครงการ ธอส-กบข. ครั้งที่ 5 วงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการสมาชิก กบข. และข้าราชการไม่เป็นสมาชิก กบข. จำนวน 17,500 ราย โครงการบ้านเอื้ออาทร เฟส 2 วงเงิน 20,000 ล้านบาท โครงการบ้าน ธอส.-สปส. เพื่อที่อยู่อาศัยของผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคม จำนวนประมาณ 18,000 ราย วงเงิน 10,000 ล้านบาท เป็นต้น
(4) โครงการสินเชื่อเพื่อเกษตรกรของ ธ.ก.ส. เป็นโครงการที่มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการประกอบอาชีพและกิจกรรมของเกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในปีบัญชี 2550 (เริ่มต้นเมษายน 2550 ถึงกุมภาพันธ์ 2551 รวม 11 เดือน) ธ.ก.ส. สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ถึง 250,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายการอนุมัติสินเชื่อในปีบัญชี 2551 จำนวน 325,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกพืชทดแทนพลังงาน วงเงิน 25,000 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลร่วมกับกระทรวงพลังงาน โดยเงินกู้ในโครงการในปี 2551 จำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิต เอทานอลแก่เกษตรจำนวนประมาณ 200,000 ราย เป็นวงเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชน โดยมีจำนวนกลุ่มอาชีพและกลุ่มการเงินที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีไม่น้อยกว่า 12,000 กลุ่ม เป็นเงิน 5,450 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ เป้าหมายการอนุมัติสินเชื่อเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากโดยรวมทั้ง 3 ธนาคาร ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน และ ธอส. ในปี 2551 รวมทั้งสิ้น 569,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 14.8 อย่างไรก็ดี เป้าหมายสินเชื่อดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งหมด โดยในปี 2551 สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังมีเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ SMEs การสนับสนุนการส่งออกและอื่นๆ อีกประมาณ 94,915 ล้านบาท รวมเป็นสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งสิ้น 664,615 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มเงินทุนและการจัดการเรียนรู้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นมาตรการในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการเพิ่มศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุน สร้างงานและอาชีพ ให้แก่ประชาชนในชุมชนและวิสาหกิจขนาดเล็กในครัวเรือน รวมถึงการพัฒนากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีการบริหารจัดการที่ดีให้สามารถยกระดับเป็นสถาบันการเงิน โดยการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านฯ สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งใหม่ภายในเดือนธันวาคม 2550 ประมาณ 1,600 แห่ง โดยใช้วงเงินกู้จากธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. จำนวนรวม 7,769.61 ล้านบาท พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทยฯ และสถาบันการเงินอื่นร่วมประเมินศักยภาพกองทุนหมู่บ้านฯ และวางแผนการดำเนินงานหรือวิธีปฏิบัติในการส่งเสริมศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านฯ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่จะได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนสินเชื่อเพิ่ม/ต่อยอดแก่กองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพิ่ม/ต่อยอดแก่กองทุนหมู่บ้านฯ ไว้แล้วอีก 4,000 ล้านบาท และ 16,000 ล้านบาทตามลำดับ นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือกองทุนหมู่บ้านฯ ในการยกระดับศักยภาพกองทุนหมู่บ้านฯ เป็นสถาบันการเงินชุมชนที่ถาวรต่อไป
3. โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 เห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข และขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในวงเงินจำนวน 40,000 ล้านบาทนั้น เพื่อความชัดเจน และความโปร่งใสของโครงการ รัฐบาลจึงได้กำหนดเงื่อนไขในการพิจารณาโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ การกำหนดกลไกสำหรับการเบิกจ่ายโดยการเปิดบัญชีของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. หรือธนาคารกรุงไทย และให้มีการบันทึกการเบิกจ่ายและติดตามผลในระบบ GFMIS เพื่อการกำกับดูแลตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้อย่างทันการณ์ โดยให้ ธ.ก.ส. หรือสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายและเป็นพี่เลี้ยงแก่หมู่บ้าน/ชุมชน สามารถพิจารณาจัดสรรวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่หมู่บ้านและชุมชนได้
กระทรวงการคลังเห็นว่าเมื่อมีการบูรณาการของมาตรการเพื่อสนับสนุนแหล่งเงินสำหรับประชาชนและธุรกิจฐานรากแล้ว และการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน 4 ปีข้างหน้า ประชาชนและธุรกิจระดับฐานรากจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมอย่างทั่วถึง สร้างรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้มีการอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และกำกับดูแลให้มีการบริหารความเสี่ยง และติดตามประเมินผลโครงการต่างๆ อย่างใกล้ชิด และหากมีความจำเป็นกระทรวงการคลังจะพิจารณาการเพิ่มทุนหรือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อดูแลและสนับสนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายภายใต้ความมั่นคงทางการเงิน
สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3233 / 3243
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 22/2551 1 เมษายน 51--