ความคืบหน้าการโอนเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 1, 2024 14:50 —กระทรวงการคลัง

ฉบับที่ 102/2567 วันที่ 1 ตุลาคม 2567

ความคืบหน้าการโอนเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการโอนเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้โอนเงินให้กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นมา ดังนี้

ผลการโอนเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

ระหว่างวันที่ 25 - 30 กันยายน 2567

กลุ่มเป้าหมาย สั่งจ่ายเงิน (ล้านราย) โอนเงินสาเร็จ (ล้านราย) โอนเงินไม่สาเร็จ ราย ร้อยละ

1. คนพิการ

2.04

2.03

8,829

0.43

2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

2.1 เลขประจาตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0

1.13

1.09

40,554

3.60

2.2 เลขประจาตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 1 ? 3

4.51

4.36

141,062

3.13

2.3 เลขประจาตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4 ? 7

4.51

4.38

129,373

2.87

2.4 เลขประจาตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 8 ? 9

2.25

2.19

61,469

2.73

รวม

14.44

14.05

381,287

2.64

ที่มา: ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง (วันที่ 30 กันยายน 2567)

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า การโอนเงินเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีเลขประจาตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 8 - 9 จานวน 2.25 ล้านราย พบว่า มีการโอนเงินไม่สาเร็จจานวน 61,469 ราย ทาให้มียอดสะสมของการโอนเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายสาเร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 14.05 ล้านราย และการโอนเงินไม่สาเร็จจานวน 381,287 ราย

ทั้งนี้ ในภาพรวมมีสาเหตุการโอนเงินไม่สาเร็จของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ดังนี้

1. คนพิการ เช่น บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด เลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้อง เป็นต้น

2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่น ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจาตัวประชาชน บัญชีไม่มี การเคลื่อนไหว บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด เลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้อง เป็นต้น

จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิดาเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจาตัวประชาชน หรือติดต่อธนาคาร เพื่อแก้ไขบัญชีเงินฝากธนาคารที่มีปัญหาข้างต้น เพื่อให้พร้อมรับเงินตามโครงการฯ ในรอบการจ่ายเงินซ้า (Retry) และสาหรับคนพิการที่บัตรประจาตัวคนพิการหมดอายุ หรือผู้ได้รับเงินเบี้ยความพิการที่ไม่มีบัตรประจาตัว คนพิการ ข้อมูลบัตรประจาตัวคนพิการไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการโอนเงินเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ขอแนะนาให้ดาเนินการต่ออายุบัตรประจาตัวคนพิการ ทาบัตรประจาตัวคนพิการ หรือแก้ไขข้อมูลประจาตัวคนพิการ ที่ศูนย์บริการคนพิการทั่วประเทศให้ถูกต้องภายในกาหนดเวลา ดังนี้

2

รอบจ่ายซ้า จ่ายเงินภายในวันที่ ทาบัตรหรือต่ออายุบัตรประจาตัว คนพิการภายในวันที่ ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับ เลขประจาตัวประชาชน/แก้ไขบัญชีภายในวันที่

ครั้งที่ 1

22 ตุลาคม 2567

10 ตุลาคม 2567

18 ตุลาคม 2567

ครั้งที่ 2

22 พฤศจิกายน 2567

12 พฤศจิกายน 2567

18 พฤศจิกายน 2567

ครั้งที่ 3

22 ธันวาคม 2567

3 ธันวาคม 2567

16 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ เมื่อพ้นกาหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ

นอกจากนี้ กรณีเป็นบุคคลล้มละลายหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์สามารถดาเนินการเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อรับเงินตามโครงการฯ และสามารถถอนเงินได้ โดยดาเนินการยื่นคาร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขออนุญาตเปิด/ ใช้บัญชีเพื่อรับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยต้องดาเนินการเปิดบัญชีเงินฝากและผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจาตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในกาหนดการ Retry

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วจานวน 140,573.41 ล้านบาท ขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับเงินส่วนนี้แล้ว วางแผนการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า และให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว

ช่องทางการติดต่อ:

1. ตรวจสอบสิทธิและผลการโอนเงิน: เว็บไซต์ https://โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ2567.cgd.go.th (ตรวจสอบผลการโอนเงินได้ในวันถัดไป หลังจากวันที่จ่ายเงิน)

2. สอบถามข้อมูลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ โทรศัพท์หมายเลข 0 2109 2345 กด 1 กด 5 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง

3. สอบถามข้อมูลคนพิการ: ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

4. สอบถามข้อมูลบุคคลล้มละลายหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์: กรมบังคับคดี โทรศัพท์หมายเลข 0 2881 4999 หรือสายด่วน 1111 กด 79

ที่มา: กระทรวงการคลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ