เศรษฐกิจไทย
เครื่องชี้เศรษฐกิจรายสัปดาห์
สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจไทยล่าสุด
? สถานการณ์เศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่แสดงถึงภาวะดีขึ้นมีดังนี้ มูลค่าการส่งออกขยายตัว
ร้อยละ 13.6 ต่อปีโดยสินค้าส่งออกหลักขยายตัวดี การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวร้อยละ 9.2 ต่อปี จาก
การบริโภคภายในประเทศ และจานวนการท่องเที่ยวจากต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 22.2 ต่อปี แต่ในส่วนการ
จัดเก็บภาษีจากการทาธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงร้อยละ -2.4 ต่อปี ปริมาณการจาหน่ายรถยนต์นั่งใน
หดตัวลงร้อยละ -22.0 ต่อปี และปริมาณการจาหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัวที่ร้อยละ -4.6 ต่อปี ปริมาณ
การจาหน่ายเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กรวมภายในประเทศเดือน หดตัวที่ร้อยละ -9.2 ต่อปี
ปัจจัยเสี่ยง
? ปัญหาผู้ประกอบการยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
จากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ข้อเสนอแนะ
? ควรมีมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน เช่น การสนับสนุนค่าพลังงานและการกระตุ้น
การบริโภคในประเทศ
สถานการณ์ภาครัฐ
? การเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ม.ค. 68 ขยายตัวร้อยละ 46.2 ต่อปี
? รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ม.ค. 68 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ต่อปี
? ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ม .ค. 68 พบว่าดุลเงินงบประมาณ
ขาดดุลจานวน 112,646 ล้านบาท
ผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน
? ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 9.3
แสนล้านบาท เบิกจ่ายได้ที่จานวน 1.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.1 โดยสัปดาห์ที่สามของเดือน
เบิกจ่ายได้เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.9 น้อยกว่าที่ต้องเบิกจ่ายต่อสัปดาห์ที่ร้อยละ 4.5 และต่ากว่า
เป้าหมายที่กรมบัญชีกลางคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 29.2 จึงจาเป็นต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายการลงทุน
โดยเฉพาะใน 5 กระทรวงที่มีวงเงินสูง เช่น ได้แก่ กระทรวงคมนาคม (วงเงินลงทุน 1.8 แสนล้านบาท)
กระทรวงมหาดไทย (วงเงินลงทุน 1.0 แสนล้านบาท) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (วงเงินลงทุน 8.8
หมื่นล้านบาท) กระทรวงกลาโหม (วงเงินลงทุน 4.2 หมื่นล้านบาท) และกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (วงเงินลงทุน 3.1 หมื่นล้านบาท)
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยการอุปโภคบริโภคประเภทสินค้ากึ่งคงทน สินค้าไม่คงทน และบริการขยายตัว ขณะที่การอุปโภคสินค้าคงทนลดลง การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 5.4 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสาหรับสินค้าและบริการในระบบตลาด การลงทุน ขยายตัวร้อยละ 5.1 โดยการก่อสร้างภาครัฐ และการลงทุนในเครื่องจักร เครื่องมือของภาครัฐและภาคเอกชนเร่งขึ้น ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนลดลง ดุลการค้าและบริการยังคงเกินดุล
Thailand?s Real GDP (Q
Q44/ 67 ที่มา : สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 44ปี 25677ขยายตัวร้อยละ 33.22ต่อปี เนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 33.00ต่อปี ในไตรมาสที่ 33ปี 2567 เมื่อขจัดฤดูกาลพบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 00.44เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.21.2ในไตรมาสที่ 33ปี 25672567โดยมีปัจจจัยหลักมาจากสาขาการผลิตสาขาเกษตรกรรมฯ กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ และสาขาการก่อสร้างขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง ด้านการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวเร่งขึ้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการอุปโภคภาครัฐบาลชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัว ลดลงต่อเนื่อง
ด้านการผลิต ภาคภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสาคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลผลิต ข้าวเปลือก มันสาปะหลัง ผลไม้ สุกร ไก่เนื้อ และประมง ขณะที่ผลผลิตปาล์มน้ามัน และยางพาราลดลง ภาคนอกเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.5 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มบริการ ขยายตัวร้อยละ 4.7 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการเร่งตัวขึ้นของสาขาการก่อสร้าง สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตขยายตัวเพียงร้อยละ 1.0
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ม.ค. 68 หดตัวร้อยละ -0.9ต่อปี
Indicators
(%yoy)
2024
2025
Q
3 Q
4 ทั้งปี
Jan
YTD
ยอดจาหน่ายเหล็ก
-
8.9 -
0.6 -
3.5 -
9.2 -
9.2
%mom_sa,
%qoq_sa
3.6
-
1.4 -
5.5
Manufacturing Production Index :
MPI
ปริมาณการจาหน่ายเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กรวม
ดัชนี MPIMPIหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดยการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสาคัญที่หดตัว ได้แก่ ยานยนต์ แร่อโลหะ คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และเครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ -18 1,,-5.5 และ -5.1 ต่อปี ตามลาดับ* โดยมีปัจจัยสาคัญมาจากการลดการปล่อยสินเชื่อซื้อรถยนต์และที่อยู่อาศัย และการปิดปรับปรุงโรงงานการผลิตเครื่องดื่มบางรายการ อย่างไรก็ดี การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม พลาสติก และคอมพิวเตอร์ปรับตัวดีขึ้น จากฐานต่าในปีก่อนที่มีการปิดปรับปรุงโรงกลั่นน้ามันบางราย ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตพลาสติก และการเร่งส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าสาคัญโดยเฉพาะสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษีที่อาจเกิดขึ้น (*เรียงตามสัดส่วนใน MPIMPIในระบบ TSIC 22หลัก
Indicators
(%yoy)
2024
2025
Q3
Q4
ทั้งปี
Jan
YTD
MPI
-0.8
-1.8
-
1 3
-0.9
-0.9
%mom_sa,
%qoq_sa
-0.5
-0.8
-
1.6
-
80.0
85.0
90.0
95.0
100.0
105.0
110.0
Jan-21
May-21
Sep-21
Jan-22
May-22
Sep-22
Jan-23
May-23
Sep-23
Jan-24
May-24
Sep-24
Jan-25
(
Index_Sa
Jan 21 = 100
ปริมาณการจาหน่ายเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กรวมภายในประเทศเดือน ม.ค. 68 หดตัวที่ร้อยละ 9.29.2เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวที่ร้อยละ 5.55.5เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
ปริมาณการจาหน่ายเหล็กในประเทศเดือน ม.ค. 6868หดตัว โดยมีปัจจัยสาคัญมาจากปริมาณการจาหน่ายที่หดตัวของเหล็กประเภท อาทิ เหล็กลวด เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนและเหล็กเส้นข้ออ้อย หดตัวที่ร้อยละ 27.9 19.1 17.317.3และ 10.410.4ตามลาดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กในการก่อสร้างลดลง
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ใน เดือน ม.ค. 688ขยายตัวที่ร้อยละ 99.22ต่อปี และขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ที่ร้อยละ 3.03.0ต่อปี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ จากการจัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูงที่ร้อยละ 122.66ต่อปี ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า จากปัจจัยบวกของนโยบายสนับสนุนการบริโภคของภาครัฐเป็นสาคัญ ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนาเข้ากลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.14.1ต่อปี ซึ่งทาให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ โดยรวมขยายตัวสูงที่ร้อยละ 9.2
ที่มา กรมสรรพากร คานวณโดย สศค.
ภาษีจากการทาธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ม.ค. 6868หดตัวที่ร้อยละ 2.42.4เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 1.51.5เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
การจัดเก็บภาษีจากการทาธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ม.ค. 6868หดตัวจากช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากปัญหาการชะลอตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจอสังหาฯของภาครัฐจะเป็นส่วนช่วยในภาคอสังหาฯ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ปริมาณการจาหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ม.ค. 688มีจานวน 18,25418,254คัน หดตัวลงร้อยละ -22.02.0เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ขยายตัวที่ร้อยละ 1.6
ปริมาณการจาหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหดตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง12 เดือนติดต่อกัน โดยได้รับปัจจัยกดดันจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในเกณฑ์สูง รวมถึงปัญหาการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป
ที่มา : บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จากัด และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ปริมาณการจาหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน ม.ค. 6868มีจานวน 29,96229,962คัน หดตัวที่ร้อยละ
4.64.6เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหลังขจัดผลทางฤดูกาล หดตัวลงที่ร้อยละ 1.7
ยอดจาหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์เดือน ม.ค. 6868ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2626และหดตัวจากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 1.71.7เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจากปัญหาหนี้เสียที่สูง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยกดดันต่อผู้ประกอบการ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
มูลค่าการส่งออกในเดือนม.ค. 668 มีมูลค่าอยู่ที่ 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวที่ร้อยละ 13.613.6เมื่อเทียบรายปีและเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหลังขจัดผลทางฤดูกาล ขยายตัวที่ร้อยละ 4.9
การส่งออกของไทยเมื่อหักรายการสินค้าเกี่ยวเนื่องน้ามัน ทองคา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 11.411.4เมื่อเทียบรายปี กลุ่มสินค้าส่งออกที่ขยายตัวในเดือนดังกล่าว อาทิ
?
สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ยางพารา ไก่สด แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี
สินค้าอุตสาหกรรม เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
?
สาหรับมิติตลาดคู่ค้า พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักขยายตัว อาทิ ตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป CLMVCLMVจีน และอินเดีย
มูลค่าการนาเข้าในเดือน ม.ค. 68 มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ7.97.9เมื่อเทียบรายปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหลังขจัดผลทางฤดูกาล หดตัวที่ร้อยละ -0.6
การนาเข้าของไทยขยายตัว โดยมีปัจจัยสาคัญมาจากกลุ่มสินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสาเร็จรูป สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง และสินค้าอื่น ๆตามลาดับ
ด้านดุลการค้าในเดือน ม.ค. 68 ขาดดุลมูลค่า -1,880.2,880.2ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
วันที่ 17-23 ก.พ. 68 มีจานวนนักท่องเที่ยว 7.63 แสนคน โดยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจานวนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งนี้ จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมกราคม 2568 มีจานวนทั้งหมด 3.7 ล้านคน ขยายตัวที่ร้อยละ 22.2
จานวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปี 2567 2568
และคาดการณ์
จานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปี 2567 และ 2568
ที่มา : กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
9
ที่มา : กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวแลttกีฬา
จานวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยวันที่
17-23 ก.พ. 68มีจานวนนักท่องเที่ยว7.63แสนคนและตั้งแต่วันที่1 ม ค 23 ก.พ.668(YTD YTD) มีจานวนทั้งสิ้น6.35ล้านคนสร้างรายได้3.10 แสนล้านบาทคิดเป็นค่าใช้จ่าย คน ทริปที่448,883บาทโดยในช่วงที่ผ่านมาจานวนนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์มีแนวโน้มชะลอตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูง จากการที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Short Haul) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ประกอบกับรัฐบาลมีการประกาศปี Amazing
Thailand Grand Tourism and Sport Year 2025 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการแข่งขันกีฬาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่า มีจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งหมด 3.7 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของ สศค. ที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.3 ล้านคน (คาดการณ์ เมื่อ ม.ค. 68) อย่างไรก็ตาม สศค. คากการ์ไว้ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 3.2 ล้านคน
จานวน : ล้านคน
อัตราการขยายตัว : ร้อยละ
หน่วย ล้านคน
อัตราการขยายตัว
Indicators
(%yoy)
2024 2025
Q1
Q2
Q3
Q4
ทั้งปี
Jan
YTD
จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ yoy 43.5
26.3
21.1
16.8
26.3
22.2
22.2
%mom_sa, %qoq_sa
-0.5
9.0
0.1
3.8
6.2
จานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย yoy 8.6
13.0
6.6
5.9
8.5
3.6
3.6
%mom_sa, %qoq_sa
0.3
14.8
-0.7
-4.1
-1.1
ค่าใช้จ่ายจากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย yoy 9.7
12.1
8.0
4.7
8.6
6.1
6.1
%mom_sa, %qoq_sa
-11.1
29.8
1.5
-7.9
-9.1
ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป ของผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย
yoy
0.5
1.1
1.0
-0.3
0.02
2.5
2.5
การท่องเที่ยวของชาวไทย สะท้อนจากจานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยในเดือน ม.ค. 68 มีจานวน 24.3 ล้านคน ขยายตัวจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.6 และเมื่อขจัดผลทางฤดูกาล พบว่า หดตัวที่ร้อยละ -1.1 เนื่องจากจานวนผู้เยี่ยมเยือนในหลายจังหวัดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะจังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร อาทิ จังหวัดนครราชสีมา ขยายตัว 3.9% จังหวัดนครปฐม
ขยายตัว 7.8% และจังหวัดชลบุรี ขยายตัว 11.0%
ตามลาดับ
ทั้งนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวของชาวไทยเดือนม.ค. 68 อยู่ที่ 94,632 ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อขจัดผลทางฤดูกาลแล้วพบว่าหดตัวที่ร้อยละ -9.1 เป็นผลจากการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ที่ขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 3,902บาท/คน/ทริป ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.5เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 21 ก.พ. 2568พบว่า ณ วันที่ 21ก.พ. 2568วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 9.3แสนล้านบาท เบิกจ่ายได้ที่จานวน 1.99แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.1 หากรวมการก่อหนี้ผูกพัน มีการใช้จ่ายที่จานวน 3.77แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39.2
โดยจานวนเงินที่ต้องเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของงบประมาณ 2568(วันที่ 22ก.พ. -30ก.ย. 2568) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนที่ร้อยละ 80 ตามประมาณการของกรมบัญชีกลาง อยู่ที่ 5.66แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.99ทั้งนี้ ณ สัปดาห์ที่สามของเดือนกุมภาพันธ์ 2562568ผลอัตราการเบิกจ่ายการลงทุนที่ร้อยละ 20.13เบิกจ่ายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9น้อยกว่าที่ต้องเบิกจ่ายต่อสัปดาห์ที่ร้อยละ 4.5 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ณ สิ้นเดือนที่กรมบัญชีกลางคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 29.22จึงจาเป็นต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายการลงทุนในเดือนถัดไป โดยมีแนวทางดังนี้
1) งบกระทรวง ควรเร่งรัดการลงทุนโดยเฉพาะกระทรวงที่มีวงเงินขนาดใหญ่ 5อันดับแรก ได้แก่ กระทรวงคมนาคม (วงเงินลงทุน 1.8แสนล้านบาท) กระทรวงมหาดไทย (วงเงินลงทุน 1.0แสนล้านบาท) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (วงเงินลงทุน 8.88หมื่นล้านบาท) กระทรวงกลาโหม (วงเงินลงทุน 4.22หมื่นล้านบาท) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (วงเงินลงทุน 3.1หมื่นล้านบาท)
2) งบจังหวัด ควรเร่งรัดการลงทุนโดยเฉพาะจังหวัดที่มีวงเงินขนาดใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนให้เม็ดเงินหมุนเวียนสู่จังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ นครราชสีมา (วงเงินลงทุน 356.44ล้านบาท) ชลบุรี (วงเงินลงทุน 329.88ล้านบาท) สมุทรปราการ (วงเงินลงทุน 298.0ล้านบาท) เชียงใหม่ (วงเงินลงทุน 296.33ล้านบาท) และขอนแก่น (วงเงินลงทุน290.2290.2ล้านบาท)
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
การเบิกจ่ายงบประมาณรวมในเดือน ม.ค. 68เบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 319,543 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 46.2 ต่อปี ทาให้สี่เดือนแรกของปีงบประมาณ 68เบิกจ่ายที่ร้อยละ 33.7
11
ที่มา กรมสรรพากร คานวณโดย สศค.
โดย (1) รายจ่ายปีปัจจุบัน เบิกจ่ายได้ 295,624ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 43.8 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 7.9ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น (1.1) รายจ่ายประจา 252,069 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.0 ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 8.9 และ (1.2) รายจ่ายลงทุน 43,555ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 230.3ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 4.7(2) รายจ่ายปีก่อนเบิกจ่ายได้ 23,919 ล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 83.5ต่อปี คิดเป็นอัตราเบิกจ่ายสะสมที่ร้อยละ 8.7ต่อปี
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ม.ค. 68 ได้ 209,173 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.8ต่อปี
โดยรายได้ในเดือนม.ค. 68ขยายตัวจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ขยายตัวร้อยละ 6.1ต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขยายตัวร้อยละ 4.6ต่อปี ภาษีน้ามันขยายตัวร้อยละ 25.6ต่อปี และภาษีเบียร์ขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทย
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ม.ค. 68 พบว่าดุลเงินงบประมาณขาดดุลจานวน 112,646ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณขาดดุล 7,435 ล้านบาท พบว่าดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล 120,081ล้านบาท โดยในเดือนนี้รัฐบาลมีการกู้เงิน 66,000 ล้านบาท ส่งผลให้จานวนเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ 245,494ล้านบาท
เครื่องชี้ภาคการเงิน
ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ม.ค. 68 เกินดุลที่ 2,656.99ล้านดอลลาร์สหรัฐเกินดุลลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 2,924.66ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยเดือน ม.ค. 68 ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน เกินดุลที่2,253.22ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดุลการค้า (ตามระบบ BOP) เกินดุลลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่403.68ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาหรับดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 68 เกินดุลรวม 2,656.99ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Current Account
13
หรือหดตัวที่ร้อยละ -0.14จากเดือนก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาล) เมื่อแยกประเภทการขอสินเชื่อพบว่าสินเชื่อเพื่อธุรกิจหดตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ -1.04และสินเชื่อเพื่อการบริโภคพลิกกลับมาหดตัวที่ร้อยละ -0.09จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
หรือขยายตัวที่ร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาล) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินอื่น ขยายตัวที่ร้อยละ 2.3ร้อยละ 3.5และร้อยละ 9.0จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลาดับ
เงินฝากในสถาบันการเงินเดือน ม.ค. 68มียอดคงค้าง 25.88ล้านล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 3.0จากช่วงเดียวกันปีก่อน
สินเชื่อในสถาบันการเงินเดือน ม.ค. 68มียอดคงค้าง 20.55ล้านล้านบาท คิดเป็นการหดตัวที่ร้อยละ -0.4จากช่วงเดียวกันปีก่อน
เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
GDPไตรมาส 4ปี 67(ปรับปรุงครั้งที่ 2) ไม่เปลี่ยนแปลจากการประมาณการเบื้องต้น โดยขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 2.7จากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 0.6เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (หลังขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) และเป็นการขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 เมื่อคานวนแบบ annualized rate ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
จานวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (16 -22 ก.พ. 68) อยู่ที่ 2.42 แสนราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งนี้ จานวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์ (four week moving average) ซึ่งขจัดความผันผวนรายสัปดาห์แล้ว เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.42แสนราย
สหรัฐอเมริกา
ยูโรโซน
อัตราเงินเฟ้อ เดือน ม.ค. 68 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 2.4จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของโตเกียว (Tokyo Core CPI) เดือน ก.พ. 68 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ยังคงอยู่เหนือเป้าหมายร้อยละ 2 ของ BOJBOJเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเสริมสร้างมุมมองที่เข้มงวดเกี่ยวกับนโยบายการเงินในประเทศ ขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของโตเกียว (Tokyo CPI) อยู่ที่ร้อยละ 2.9จากร้อยละ 3.4ในเดือนก่อนหน้า
ยอดขายปลีก เดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ต่อปี จากร้อยละ 3.5 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า เป็นการขยายตัวของยอดขายปลีกเดือนที่ 34ติดต่อกันและเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ก.พ. 67โดยค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นยังคงสนับสนุนการบริโภคอย่างต่อเนื่อง
ญี่ปุ่น
ธนาคารกลางเกาหลี (BOK) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานลง 25 bps เหลือร้อยละ 2.75 ในการประชุมเดือน ก.พ. 68 หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในเดือน ม.ค. นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามในช่วงสี่เดือน การตัดสินใจนี้ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมอยู่ในระดับต่าสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 65ท่ามกลางสถานการณ์เงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายของหนี้ครัวเรือน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ธนาคารกลางได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสาหรับปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.5เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯ สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล (Budget Balance) ในฟิลิปปินส์ลดลงเหลือ 329.5 พันล้านเปโซฟิลิปปินส์ ในเดือน ธ.ค. 67 จาก 401.0 พันล้านเปโซในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากรายรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญในขณะที่รายจ่ายลดลง รายรับของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการเก็บรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีที่ดีเกินคาด ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายภาครัฐลดลงร้อยละ 2.6 โดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายด้านทุนอื่น ๆ ของกรมโยธาธิการและทางหลวง ค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาและการดาเนินงานอื่น ๆ สาหรับโครงการคุ้มครองด้านสุขภาพและสังคม และค่าใช้จ่ายด้านการบริการบุคลากร เมื่อพิจารณาทั้งปี 67 การขาดดุลงบประมาณของประเทศลดลงเล็กน้อยเป็น 1,506.4 พันล้านเปโซฟิลิปปินส์ จาก 1,512.1 พันล้านเปโซในปี 66
การขาดดุลการค้า (Balance of Trade) ของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเป็น 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้นจาก 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นช่องว่างทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในรอบสามช่วง โดยมีแรงหนุนจากการนาเข้าที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการส่งออก
การส่งออกจากฟิลิปปินส์ในเดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการเติบโตครั้งแรกหลังจากกิจกรรมการส่งออกลดลงติดต่อกันสี่เดือน โดยได้แรงหนุนจากยอดขายน้ามันมะพร้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 80.3 สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.6 สินค้าแร่อื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.1 และเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2โดยในบรรดาคู่ค้ารายใหญ่ การส่งออกส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นไปยังสิงคโปร์ ตามด้วยสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย เยอรมนี และญี่ปุ่น
การนาเข้าไปยังฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ในเดือน ม.ค. 68 ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกของการจัดส่งขาเข้าในรอบสามเดือน เนื่องจากการซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมและเครื่องจักรไฟฟ้าเพิ่มขึ้น พลาสติกในรูปแบบหลักและไม่ใช่หลัก และเครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ยอดซื้อธัญพืชและธัญพืชปรุงแต่งลดลง ในบรรดาคู่ค้าชั้นนา การนาเข้าเพิ่มขึ้นจากเกาหลีไต้ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวขาเข้าลดลงจากมาเลเซีย ไต้หวัน เวียดนาม และไทย
ฟิลิปปินส์
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ระดับ 98.8 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 98.2จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7เดือน และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 98.4จุด
เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
ที่มา: ฐานข้อมูล CEIC และ TradingeconomicsTradingeconomicsรวมรวบโดย สศค.
ไต้หวัน
GDPไตรมาสที่ 4 ปี 67 finalfinalขยายตัวที่ร้อยละ 2.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าคาดการณ์ตลาดและตัวเลข GDP รอบ advanced estimate ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 7 โดยเศรษฐกิจไต้หวันฝั่งอุปสงค์ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภาคบริการขั้นสุดท้าย และการสะสมทุนสุทธิ ในฝั่งอุปทานได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในทุกภาคเศรษฐกิจ ส่งผลให้ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไต้หวันขยายตัวที่ร้อยละ 4.6
อัตราการว่างงานเดือน ม.ค. 68 อยู่ที่ร้อยละ 3.44ของกาลังแรงงานรวม ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 3.44ของกาลังแรงงานรวม
ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ม.ค. 68 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 19.8 นับเป็นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ต่าที่สุดนับตั้งแต่ มี.ค. 67 โดยได้รับปัจจัยกดดันจากภาคการผลิตที่มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง ภาคเหมืองแร่และเหมืองหินที่หดตัวในอัตราเร่งขึ้น และภาคการผลิตน้าประปาที่พลิกกลับมาหดตัวอีกครั้ง เป็นสาคัญ
ยอดค้าปลีก เดือน ม.ค. 68 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 2.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวของยอดค้าปลีกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นการขยายตัวของยอดค้าปลีกในอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ก.พ. 67 อันเนื่องจากการขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นของยอดขายสินค้าในร้านขายของชา และสินค้าในหมวดอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ และหมวดเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นสาคัญ
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน ม.ค. 68 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี (ร้อยละ -0.2 ต่อเดือน) ต่าสุดนับจาก มี.ค. 64 เป็นต้นมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อในเกือบทุกหมวดหมู่หลักของดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน ได้แก่ การบริการ อาหาร และที่อยู่อาศัย ในขณะที่เกิดภาวะเงินฝืดในสินค้าค้าปลีกและสินค้าอื่น ๆ และไฟฟ้าและก๊าซ ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการขนส่งส่วนตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคารถยนต์ที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ลงลงเหลือ ร้อยละ 1.2(จากร้อยละ 1.5ในเดือนก่อนหน้า) นี่เป็นตัวเลขที่ต่าที่สุดนับตั้งแต่ ก.พ. 64โดยคานวณจากปีฐาน 67
การผลิตภาคอุตสาหกรรม (manufacturing production) เดือน ม.ค. 68 เติบโตร้อยละ 9.1 ต่อปี เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.2 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า โดยการเติบโตของการผลิตเร่งตัวขึ้นในภาคอิเล็กทรอนิกส์ ท่ามกลางการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในส่วนของเซมิคอนดักเตอร์และการผลิตด้านชีวการแพทย์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นที่เร็วขึ้นในภาคเภสัชกรรม ในแง่ของการปรับตามฤดูกาลเมื่อเทียบเป็นรายเดือน จะขยายตัวร้อยละ 4.5ซึ่งมากที่สุดในรอบห้าเดือน
เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
ที่มา: ฐานข้อมูล CEIC และ TradingeconomicsTradingeconomicsรวมรวบโดย สศค.
เศรษฐกิจของฮ่องกงในไตรมาส 4 ปี 67 ขยายตัวร้อยละ 2.4 เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 1.8ในไตรมาสก่อนหน้า การฟื้นตัวมีสาเหตุหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนร้อยละ -0.2(เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ที่หดตัวร้อยละ -1.3) และการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวร้อยละ 2ในขณะเดียวกัน การสะสมทุนถาวรขั้นต้นลดลงร้อยละ -0.9สาหรับการค้าสุทธิ อัตราการเติบโตของการส่งออกสินค้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดร้อยละ 1.3(ลดลงจากไตรมาสก่อน ที่ขยายตัวร้อยละ 4) ในขณะที่บริการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่ามากร้อยละ 5.6สาหรับการนาเข้าสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นปานกลางร้อยละ 0.4 และ 7.8 ตามลาดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาสที่ปรับตามฤดูกาล เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.8ดีดตัวขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 0.1ในไตรมาสที่ 3ของปี 67
ดุลการค้าของฮ่องกง (Balance of Trade) ในเดือน ม.ค. 68 มีการเกินดุล ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากขาดดุลต่อเนื่อง 11เดือนติดต่อกัน ตั้งแต่ ก.พ. 67โดยการนาเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 387.1พันล้านดอลลาร์ และการส่งออกเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.1อยู่ที่ 389.1พันล้านดอลลาร์
การส่งออกฮ่องกง เดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.1 อยู่ที่ 389.1 พันล้านดอลลาร์ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากยอดขายลดลงสาหรับเครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนไฟฟ้าลดลงร้อยละ -2.2 เทียบกับร้อยละ 8.3 ในเดือนก่อน และโลหะที่ไม่ใช่เหล็กลดลงร้อยละ -6.8 ขณะที่ได้แรงหนุนจากยอดขายเครื่องจักรสานักงานและเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6และเครื่องจักรและอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าร้อยละ 11.5ในบรรดาจุดหมายปลายทางหลักๆ มีการจัดส่งไปยังเวียดนามร้อยละ 73.9สหรัฐอเมริการ้อยละ 14.8 ญี่ปุ่นร้อยละ 14.3 เกาหลีใต้ร้อยละ 12. และไต้หวันร้อยละ 2ในทางตรงกันข้าม การจัดส่งไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดลงมากที่สุดร้อยละ 43.5ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ร้อยละ -31.8และอินเดียร้อยละ -22.3
การนาเข้าฮ่องกง เดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 387.1 พันล้านดอลลาร์ ฟื้นตัวจากการลดลงร้อยละ -1.1 ในเดือนก่อนหน้า การฟื้นตัวมีสาเหตุหลักมาจากการซื้อเครื่องจักรสานักงานและเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญร้อยละ 52.7 และเครื่องจักรและอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าร้อยละ 40.1 โดยการนาเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากฝรั่งเศสร้อยละ 141.9มาเลเซียร้อยละ 52.7เวียดนามร้อยละ 48.4สหราชอาณาจักรร้อยละ 42.6และไต้หวันร้อยละ 38.0
เครื่องชี้เศรษฐกิจต่างประเทศ
ที่มา: ฐานข้อมูล CEIC และ TradingeconomicsTradingeconomicsรวมรวบโดย สศค.
ฝรั่งเศส
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (PMI) เบื้องต้น เดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ระดับ 45.5 จุด ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.0จุด ทั้งนี้ดัชนีอยู่ในระดับต่ากว่า 50บ่งชี้การหดตัวของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมฝรั่งเศสยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากยอดคาสั่งซื้อในเดือนนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (PMI) เบื้องต้น เดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ระดับ 44.5 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.2จุด และต่ากว่าคาดการณ์ตลาดที่ระดับ 48.9จุด ทั้งนี้ดัชนีอยู่ในระดับต่ากว่า 50บ่งชี้การหดตัวของภาคบริการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6และเป็นการหดตัวในอัตราที่ต่าที่สุดนับตั้งแต่ ก.ย. 66อันเนื่องจากการลดลงของผลผลิตและยอดเปิดกิจการใหม่
เครื่องชี้ตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ดัชนี SETSETปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน เช่น Nikkei 225 ญี่ปุ่น
IDX อินโดนีเซีย และ TWSE ไต้หวัน) เป็นต้น เมื่อวันที่ 27ก.พ. 68 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,246.21 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยระหว่างวันที่ 24 27 ก.พ. 68 อยู่ที่522,804.68 ล้านบาทต่อวันโดยนักลงทุนทั่วไปในประเทศ เป็นผู้ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนต่างชาติ เป็นผู้ขายสุทธิ ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 24-27ก.พ. 68 นักลงทุนต่างชาติ ขายหลักทรัพย์สุทธิ -5,267.37ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 เดือน ถึง 3 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 bpsbpsเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ถึง 20 ปี ปรับตัวลดลงในช่วง -1 ถึง -6 bpsbpsโดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนไม่มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ ระหว่างวันที่24 -27 ก.พ. 68 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรสุทธิ 4,491.03 ล้านบาท และหากนับจากต้นปีจนถึงวันที่ 27ก.พ. 68 กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ไหลออกจากตลาดพันธบัตรสุทธิ-5,384.38 ล้านบาท
เงินบาทอ่อนค่าจากสัปดาห์ก่อน โดย ณ วันที่27 ก.พ.68เงินบาทปิดที่ 33.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ -0.65 จากสัปดาห์ก่อนหน้าสอดคล้องกับเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค อาทิ เงินสกุลริงกิตดอลลาร์ไต้หวัน ดอลลาร์สิงคโปร์ และหยวน ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินสกุลเยน ยูโร เปโซ และวอน ที่ปรับตัวอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อน เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาท (NEERNEER) อยู่ที่ร้อยละ -0.65
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง