ฉบับที่ 25/2568 วันที่ 7 มีนาคม 2568
การประชุมระดับปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปค
(APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting) ประจาปี 2568 วันที่ 6 ? 7 มีนาคม 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมระดับปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปค (APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting: APEC FCBDM) ระหว่างวันที่ 6 ? 7 มีนาคม 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังสาธารณรัฐเกาหลี (H.E. Boemseok Kim) เป็นประธาน และมีผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้แทนระดับสูงของสมาชิก เขตเศรษฐกิจเอเปค ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และผู้แทนภาคเอกชนจากสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคเข้าร่วมการประชุม ซึ่งสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี 2568 ได้กาหนดหัวข้อหลัก (Theme) ภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers? Process: APEC FMP) ประจาปี 2568 คือ การเติบโตที่ยั่งยืนและความมั่งคั่งร่วมกันในภูมิภาค (Sustainable Growth and Shared Prosperity in the Region) โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. แผนงานความร่วมมือภายใต้กรอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจาปี 2568 (APEC FMP Work Plan 2025)
ที่ประชุมเห็นชอบ APEC FMP Workplan 2025 ที่ให้ความสาคัญกับการเสริมสร้างเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเปคเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล และครอบคลุมตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยผลักดัน 3 ประเด็นสาคัญ (Priorities) เพื่อช่วยขับเคลื่อนในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น สรุปได้ ดังนี้
1.1 การเงินดิจิทัล (Digital Finance) ประกอบด้วย นวัตกรรมการเงินดิจิทัลที่ยั่งยืน (Sustainable Digital Financial Innovation) และการเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงในการเงินดิจิทัล (Enhance Safety and Security in Digital Finance) โดยที่ประชุมเห็นพ้องว่า การเงินดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะ การนาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้ในหลายด้าน เช่น การประเมินคะแนนเครดิตโดยใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) การพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) เพื่อขยายการเข้าถึงทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งพัฒนาการเหล่านี้นามาซึ่งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ ความท้าทายในการกากับดูแล และความจาเป็นในการพัฒนาทุนมนุษย์ ในโอกาสนี้ ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลังได้นาเสนอนวัตกรรมการเงินดิจิทัลที่ยั่งยืนของไทยต่อที่ประชุม ซึ่งมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาการเข้าถึงบริการทางการเงิน สร้างประโยชน์แก่ผู้บริโภค และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้น 5 ประเด็น ได้แก่ (1) ความสาเร็จในการพัฒนาระบบการชาระเงิน ผ่าน PromptPay ซึ่งช่วยลดต้นทุนและอานวยความสะดวกในการชาระเงินและโอนเงินตลอดจนเชื่องโยงกับระบบ การชาระเงินจากต่างประเทศ (2) การออกประกาศหลักเกณฑ์ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์แบบไร้สาขา (Virtual Bank) เพื่อเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินสาหรับประชาชนที่ยังไม่ได้รับบริการอย่างเต็มที่ (3) การจัดตั้งสถาบันค้าประกันแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA) เพื่อลดต้นทุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) (4) การดาเนินการจัดทากฎหมายการจัดตั้งศูนย์กลาง การประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และ (5) การใช้เทคโนโลยี บล็อกเชนในการออกพันธบัตรตราสารหนี้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ซึ่งการดาเนินการ
-2-
ตาม 5 ประเด็นข้างต้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลที่ยั่งยืน เพื่อเสริมสร้าง ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
1.2 นโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน (Fiscal efficiency and Sustainability) ประกอบด้วย มาตรการการคลังที่มีประสิทธิภาพและการมีวินัยทางการคลัง (Fiscal Performance and Discipline) และการสนับสนุน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Facilitating Public-Private Partnership) โดยที่ประชุมเห็นควรให้ความสาคัญ ในการรักษาวินัยทางการคลังท่ามกลางสถานการณ์ที่ระดับหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งนโยบายการคลัง มีความสาคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Counter-cyclical) การลดผลกระทบจาก AI ที่จะส่งผลต่อภาคแรงงาน และการบรรลุเป้าหมายด้านสังคมที่สาคัญ โดยความท้าทายสาคัญที่เขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่เผชิญ คือ รายจ่ายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมสู่สังคมสูงอายุ นอกจากนี้ ผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้นาเสนอกลไกในการรักษาวินัยการคลังที่ดี โดยมีกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) ที่ชัดเจนและยืดหยุ่น ภายใต้การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการคลัง (Fiscal Council) เพื่อวางแผนด้านการคลังในระยะกลาง และระยะยาว และมีข้อเสนอเรื่องการเพิ่มการจัดเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สิน (Capital Income Tax) จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการหดตัวของภาษีฐานรายได้ของแรงงานลง รวมทั้งยังแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้าด้วย นอกจากนี้ ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนถือเป็นปัจจัยสาคัญในการลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ ในโอกาสนี้ ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจ การคลังได้นาเสนอประสบการณ์ของไทยในการจัดทาพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อส่งเสริม การสร้างวินัยการเงินการคลังของรัฐเพื่อเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่ให้ความสาคัญกับการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบาย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อเป็นศูนย์รวมในการกาหนดนโยบายด้านการเงินการคลัง ของประเทศ และกาหนด Fiscal Rules ที่ชัดเจน ได้แก่ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจ สัดส่วนเงินลงทุนต่องบประมาณ ตลอดจนข้อกาหนดให้จัดทาแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) เพื่อเป็น แผนแม่บทหลักสาหรับการวางแผนการดาเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ โดยคานึงถึงบริบทของรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ
1.3 นวัตกรรม (Innovation) ประกอบด้วยการใช้นวัตกรรมดิจิทัลในภาคการผลิต (Advancing Industrial Digitalization) และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาแก่ผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจเริ่มต้น (Promoting R&D in SMEs and Startup) โดยที่ประชุมได้ตระหนักถึงความสาคัญของ AI ในการเพิ่มผลผลิต (Productivity) และลดขั้นตอนในกระบวนการผลิตในภาคการผลิต อย่างไรก็ดี จาเป็นต้องมีกรอบการกากับดูแลที่รัดกุมเพื่อความโปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้ ที่ประชุมได้สนับสนุนเขตเศรษฐกิจให้เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พัฒนา ทุนมนุษย์เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเสรีและการพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน อีกทั้งที่ประชุมเห็นพ้องว่าผู้ประกอบการ SMEs มีความสามารถ ที่จะนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ได้รวดเร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ และนโยบายทางการคลัง การเงิน และภาษีที่เอื้ออานวย จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านในการนาเทคโนโลยีมาใช้มากยิ่งขึ้น และทาให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สาคัญ
2. สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโลก ภูมิภาค และแนวโน้ม (Global and Regional Economic and Financial Outlook)
ผู้แทน IMF ได้รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกต่อที่ประชุม โดยคาดว่าจะสามารถขยายตัว ที่ร้อยละ 3.3 อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย (Policy Uncertainty) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทวีความรุนแรง และการขาดวินัยทางการคลัง (Fiscal Indiscipline) ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง คือ สถานการณ์ หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงและนโยบายเชิงกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ และนโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มผ่อนปรนมากขึ้น (Less Hawkish) ทั้งนี้ ผู้แทน IMF ได้เสนอแนะเชิงนโยบายแก่สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคว่า ควรดาเนินนโยบายทางการเงินที่มุ่งรักษาเสถียรภาพด้านราคา (Price Stability) พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเร่งลดการขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) เพื่อรักษาพื้นที่ในการดาเนินนโยบาย (Policy Space) ในโอกาสนี้ ผู้อานวยการสานักงาน
-3-
เศรษฐกิจการคลังได้นาเสนอสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งได้เติบโตอย่างเป็นลาดับในช่วงสองไตรมาส ของปีที่แล้ว และคาดว่าจะขยายตัวได้เกินร้อยละ 3 ในปีนี้จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก ตลอดจนการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัล โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ผ่านสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) มีมูลค่ากว่า 1.14 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบสิบปี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อประเทศไทย นอกจากนี้ ไทยได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบกับการมุ่งพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน รูปแบบใหม่ เช่น การจัดตั้งธนาคารไร้สาขา การมีกฎหมายเพื่อศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ APEC SFOM ที่จะประชุมระหว่างวันที่ 8 ? 9 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองเชจู สาธารณรัฐเกาหลี พิจารณาดาเนินการตามกรอบ APEC FMP Workplan 2025 ที่ APEC FCBDM ได้เห็นชอบแล้ว ก่อนพิจารณานาเสนอผลการดาเนินการในการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Minister? Meeting: APEC FMM) ระหว่างวันที่ 19 ? 23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี ต่อไป
กองนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3301
ที่มา: กระทรวงการคลัง