นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงข่าวรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2551 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนเมษายน 2551 ยังคงขยายตัวได้ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากอุปสงค์ภายในประเทศผ่านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวขึ้นมาก ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศด้านการส่งออกยังคงขยายตัวได้ในระดับสูง แต่การนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมากตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ดีขึ้นและราคาสินค้าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ภายนอกสุทธิลดลง สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง แต่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนเมษายน ของปี 2551 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ขยายตัวร้อยละ 12.2 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 10.2 ต่อปี สาเหตุหลักมาจากรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 2550 ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สามที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี นอกจากนั้นปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนเมษายนขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 34.0 ต่อปี สอดคล้องกับเครื่องชี้การบริโภคด้านสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีสัญญาณปรับลดลงในเดือนเมษายน ตามปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง
2. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนเมษายนขยายตัวดีขึ้นมาก โดยเครื่องชี้การลงทุนเอกชนด้านการก่อสร้างวัดจากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.6 ต่อปี อันเป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้ส่งผลให้มีการทำธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าและปริมาณการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวในระดับสูงมากที่ร้อยละ 25.1 และ 18.4 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี
3. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนเมษายน 2551 พบว่ารายได้สุทธิรัฐบาลเดือนเมษายน 2551 สามารถจัดเก็บได้สุทธิ 127.1 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงในอัตราร้อยละ 48.4 ต่อปี เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขณะเดียวกันรายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บ ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจในภาพรวม พบว่าจัดเก็บได้รวม 119.8 พันล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยภาษีฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ขณะที่ภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 17.0 ต่อปี สะท้อนถึงการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับรายจ่ายรัฐบาลในเดือนเมษายน 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 154.6 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 33.5 ต่อปี เนื่องจากรายจ่ายลงทุนขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 233.3 ต่อปี อันเป็นผลมาจากมีการโอนเงินงบรายจ่ายลงทุนให้แก่ อปท. ในเดือนเมษายน ในขณะเดียวกันรายจ่ายประจำยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 7.4 ต่อปี ตามการขึ้นเงินเดือนราชการในเดือนเมษายน ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณในอัตราที่สูงดังกล่าวส่งผลให้รายจ่ายรัฐบาลในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม 2550-เมษายน 2551) ขยายตัวสูงที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี ซึ่งสะท้อนบทบาทนโยบายการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจ
4. การส่งออกขยายตัวในระดับสูง แต่การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า ทำให้ดุลการค้าขาดดุลในเดือนเมษายน โดยมูลค่าส่งออกสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 27.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในด้านปริมาณส่งออกถึงร้อยละ 14.7 ต่อปี และเป็นการขยายตัวด้านราคาส่งออกที่ร้อยละ 10.7 ต่อปี โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงนี้เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ และเกษตรกรรม รวมทั้งเป็นการขยายตัวของการส่งออกในทุกตลาดสินค้า โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่และตลาดภูมิภาค เช่น จีน อินโดนิเซีย และเวียดนาม สำหรับการนำเข้าในเดือนเมษายน 2551 เร่งตัวขึ้นมากตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ดีขึ้นและราคาสินค้าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมูลค่านำเข้าสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ 15.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 44.4 ต่อปี โดยมูลค่านำเข้าที่ขยายตัวสูงนี้เป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าร้อยละ 24.2 ต่อปี และการขยายตัวของราคาสินค้านำเข้าที่ขยายตัวร้อยละ 16.3 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นนี้เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.3 ต่อปี การนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวร้อยละ 25.1 ต่อปี และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวร้อยละ 42 ต่อปี ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการผลิตและอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 88.1 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออกนี้ทำให้ดุลการค้าในเดือนเมษายนกลับมาขาดดุลที่ -1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนเมษายนพบว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจากการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรเริ่มชะลอตัวลง โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า ปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนเมษายน 2551 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 9.1 ต่อปี ด้านภาคบริการจากการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนเมษายนอยู่ที่ 1.26 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 14.2 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้ภาคการเกษตรเริ่มมีการปรับตัวลดลง โดยดัชนีผลผลิตทางการเกษตรในเดือนเมษายน 2551 หดตัวที่ร้อยละ -1.7 ต่อปี เนื่องจากมีการเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรที่สำคัญไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะข้าว ตามราคาที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อนึ่ง ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 39.9 ต่อปีตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องมีส่วนทำให้รายได้เกษตรกรในเดือนเมษายนยังคงขยายตัวในระดับสูง
6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2551 ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 109.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเกินกว่า 4 เท่า ขณะที่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ต่อปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับอัตราการว่างงานเดือนมีนาคม 2551 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม เนื่องจากการจ้างงานในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 36.9 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 10/2551 28 พฤษภาคม 2551--
1. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนเมษายน ของปี 2551 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ขยายตัวร้อยละ 12.2 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 10.2 ต่อปี สาเหตุหลักมาจากรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 2550 ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สามที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี นอกจากนั้นปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนเมษายนขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 34.0 ต่อปี สอดคล้องกับเครื่องชี้การบริโภคด้านสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีสัญญาณปรับลดลงในเดือนเมษายน ตามปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง
2. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนเมษายนขยายตัวดีขึ้นมาก โดยเครื่องชี้การลงทุนเอกชนด้านการก่อสร้างวัดจากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.6 ต่อปี อันเป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้ส่งผลให้มีการทำธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าและปริมาณการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวในระดับสูงมากที่ร้อยละ 25.1 และ 18.4 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี
3. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนเมษายน 2551 พบว่ารายได้สุทธิรัฐบาลเดือนเมษายน 2551 สามารถจัดเก็บได้สุทธิ 127.1 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงในอัตราร้อยละ 48.4 ต่อปี เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขณะเดียวกันรายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บ ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจในภาพรวม พบว่าจัดเก็บได้รวม 119.8 พันล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยภาษีฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ขณะที่ภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 17.0 ต่อปี สะท้อนถึงการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับรายจ่ายรัฐบาลในเดือนเมษายน 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 154.6 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 33.5 ต่อปี เนื่องจากรายจ่ายลงทุนขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 233.3 ต่อปี อันเป็นผลมาจากมีการโอนเงินงบรายจ่ายลงทุนให้แก่ อปท. ในเดือนเมษายน ในขณะเดียวกันรายจ่ายประจำยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 7.4 ต่อปี ตามการขึ้นเงินเดือนราชการในเดือนเมษายน ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณในอัตราที่สูงดังกล่าวส่งผลให้รายจ่ายรัฐบาลในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม 2550-เมษายน 2551) ขยายตัวสูงที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี ซึ่งสะท้อนบทบาทนโยบายการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจ
4. การส่งออกขยายตัวในระดับสูง แต่การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า ทำให้ดุลการค้าขาดดุลในเดือนเมษายน โดยมูลค่าส่งออกสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 27.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในด้านปริมาณส่งออกถึงร้อยละ 14.7 ต่อปี และเป็นการขยายตัวด้านราคาส่งออกที่ร้อยละ 10.7 ต่อปี โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงนี้เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ และเกษตรกรรม รวมทั้งเป็นการขยายตัวของการส่งออกในทุกตลาดสินค้า โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่และตลาดภูมิภาค เช่น จีน อินโดนิเซีย และเวียดนาม สำหรับการนำเข้าในเดือนเมษายน 2551 เร่งตัวขึ้นมากตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ดีขึ้นและราคาสินค้าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมูลค่านำเข้าสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ 15.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 44.4 ต่อปี โดยมูลค่านำเข้าที่ขยายตัวสูงนี้เป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าร้อยละ 24.2 ต่อปี และการขยายตัวของราคาสินค้านำเข้าที่ขยายตัวร้อยละ 16.3 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นนี้เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.3 ต่อปี การนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวร้อยละ 25.1 ต่อปี และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวร้อยละ 42 ต่อปี ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการผลิตและอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 88.1 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออกนี้ทำให้ดุลการค้าในเดือนเมษายนกลับมาขาดดุลที่ -1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนเมษายนพบว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจากการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรเริ่มชะลอตัวลง โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า ปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนเมษายน 2551 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 9.1 ต่อปี ด้านภาคบริการจากการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนเมษายนอยู่ที่ 1.26 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 14.2 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้ภาคการเกษตรเริ่มมีการปรับตัวลดลง โดยดัชนีผลผลิตทางการเกษตรในเดือนเมษายน 2551 หดตัวที่ร้อยละ -1.7 ต่อปี เนื่องจากมีการเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรที่สำคัญไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะข้าว ตามราคาที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อนึ่ง ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 39.9 ต่อปีตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องมีส่วนทำให้รายได้เกษตรกรในเดือนเมษายนยังคงขยายตัวในระดับสูง
6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2551 ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 109.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเกินกว่า 4 เท่า ขณะที่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ต่อปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับอัตราการว่างงานเดือนมีนาคม 2551 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม เนื่องจากการจ้างงานในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 36.9 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 10/2551 28 พฤษภาคม 2551--