กระทรวงการคลังโดยนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แถลงข่าวผลการวิเคราะห์เครดิตของประเทศไทยโดย Standard & Poor’s เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดย S&P’s ได้ยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (Long-term/Short-term Foreign Currency Rating) ที่ระดับ BBB+/A-2 และระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินบาท (Long — term/Short-term Local Currency Rating) ที่ระดับ A/A-1 โดยมีแนวโน้มของเครดิตในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. สถานะการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิ การจัดการทางด้านการคลังอย่างระมัดระวัง และภาระหนี้สุทธิของรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุนระดับเครดิตของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงทางการเมืองและภาคธนาคารที่ยังมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล
2. สถานะด้านต่างประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนระดับเครดิตของประเทศไทย โดยณ สิ้นปี 2551 คาดว่าประเทศไทยจะมีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิมากกว่าหนี้ต่างประเทศสุทธิประมาณร้อยละ 45
ของรายรับจากดุลบัญชีเดินสะพัด การเจริญเติบโตของสินทรัพย์ต่างประเทศสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากภาคการส่งออกที่เข้มแข็งและการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะเกินดุลถึงร้อยละ 2 ของรายรับตั้งแต่ปี 2551-2553 จะช่วยสนับสนุนให้สินทรัพย์ต่างประเทศของไทยแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
3. การรักษาวินัยการคลังอย่างรอบคอบและต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกปัจจัยหนึ่ง โดยดุลการคลังของรัฐบาลยังคงเกินดุลมาตลอด ยกเว้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายการคลังที่มีความระมัดระวังดังกล่าวส่งผลให้หนี้โดยตรงของรัฐบาล
จะลดลงเหลือร้อยละ 16.7 ของ GDP ณ สิ้นปี 2551 ต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศที่มีระดับเครดิต BBB (ร้อยละ 21) โดยหนี้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลเป็นผลมาจากการแก้ไขปัญหาในภาคการเงินหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ
4. อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ ส่งผลในทางลบต่อระดับเครดิตของประเทศไทย เนื่องจากยังคงมีความไม่ชัดเจนว่า การแบ่งแยกจะสามารถยุติได้ภายใต้แนวทางการเมือง การปรากฏขึ้นอีกครั้งของกลุ่มผู้คัดค้านมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรง แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ และหากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในการลงทุนหยุดชะงัก การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าก็จะชะลอตัวลงจากระดับ 5 ปีที่ผ่านมา
5. คุณภาพสินทรัพย์ภาคธนาคารเป็นจุดอ่อนอีกประการต่อพื้นฐานทางเครดิตของรัฐบาล โดยสินทรัพย์ที่มีปัญหาทั้งหมดในระบบธนาคารของไทย (Gross problematic assets-GPA) สูงกว่าระดับของระบบธนาคารที่มีความเข้มแข็งทั่วไป ซึ่ง S&P’s ประเมินว่า GPA ของไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของสินเชื่อในประเทศ GPA ได้แก่ NPL และยังรวมถึงหนี้ที่ปรับโครงสร้างแล้ว และสินทรัพย์รอการขาย โดยสินทรัพย์เหล่านี้อาจเป็นปัญหาต่อระบบธนาคารในภาวะเศรษฐกิจขาลง
6. แนวโน้มของระดับเครดิต (Rating Outlook) ของไทยยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ภายใต้สมมติฐานว่าสถานการณ์ความไม่สงบจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าจะยังคงมีความตึงเครียดทางการเมืองอยู่ก็ตาม ระดับเครดิตของประเทศไทยอาจจะลดลง หากการแบ่งแยกทางการเมืองนำไปสู่ความไม่สงบและความรุนแรง อันจะส่งผลกระทบในทางลบต่อตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการคลัง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอาจทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยชะงักงันได้ในอนาคต ในทางกลับกัน ระดับเครดิตของประเทศไทยอาจได้รับการปรับสูงขึ้น หากการแบ่งแยกทางการเมืองยุติลงและตัวชี้วัดที่สนับสนุนเครดิตของประเทศมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในการลงทุนและการดำเนินนโยบายการคลังที่มีวินัยอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง
0-2265-8050 ต่อ 5214
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 50/2551 13 มิถุนายน 51--
1. สถานะการเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศสุทธิ การจัดการทางด้านการคลังอย่างระมัดระวัง และภาระหนี้สุทธิของรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุนระดับเครดิตของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงทางการเมืองและภาคธนาคารที่ยังมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล
2. สถานะด้านต่างประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนระดับเครดิตของประเทศไทย โดยณ สิ้นปี 2551 คาดว่าประเทศไทยจะมีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิมากกว่าหนี้ต่างประเทศสุทธิประมาณร้อยละ 45
ของรายรับจากดุลบัญชีเดินสะพัด การเจริญเติบโตของสินทรัพย์ต่างประเทศสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากภาคการส่งออกที่เข้มแข็งและการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะเกินดุลถึงร้อยละ 2 ของรายรับตั้งแต่ปี 2551-2553 จะช่วยสนับสนุนให้สินทรัพย์ต่างประเทศของไทยแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
3. การรักษาวินัยการคลังอย่างรอบคอบและต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกปัจจัยหนึ่ง โดยดุลการคลังของรัฐบาลยังคงเกินดุลมาตลอด ยกเว้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายการคลังที่มีความระมัดระวังดังกล่าวส่งผลให้หนี้โดยตรงของรัฐบาล
จะลดลงเหลือร้อยละ 16.7 ของ GDP ณ สิ้นปี 2551 ต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศที่มีระดับเครดิต BBB (ร้อยละ 21) โดยหนี้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลเป็นผลมาจากการแก้ไขปัญหาในภาคการเงินหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ
4. อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ ส่งผลในทางลบต่อระดับเครดิตของประเทศไทย เนื่องจากยังคงมีความไม่ชัดเจนว่า การแบ่งแยกจะสามารถยุติได้ภายใต้แนวทางการเมือง การปรากฏขึ้นอีกครั้งของกลุ่มผู้คัดค้านมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรง แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ และหากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในการลงทุนหยุดชะงัก การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าก็จะชะลอตัวลงจากระดับ 5 ปีที่ผ่านมา
5. คุณภาพสินทรัพย์ภาคธนาคารเป็นจุดอ่อนอีกประการต่อพื้นฐานทางเครดิตของรัฐบาล โดยสินทรัพย์ที่มีปัญหาทั้งหมดในระบบธนาคารของไทย (Gross problematic assets-GPA) สูงกว่าระดับของระบบธนาคารที่มีความเข้มแข็งทั่วไป ซึ่ง S&P’s ประเมินว่า GPA ของไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของสินเชื่อในประเทศ GPA ได้แก่ NPL และยังรวมถึงหนี้ที่ปรับโครงสร้างแล้ว และสินทรัพย์รอการขาย โดยสินทรัพย์เหล่านี้อาจเป็นปัญหาต่อระบบธนาคารในภาวะเศรษฐกิจขาลง
6. แนวโน้มของระดับเครดิต (Rating Outlook) ของไทยยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ภายใต้สมมติฐานว่าสถานการณ์ความไม่สงบจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าจะยังคงมีความตึงเครียดทางการเมืองอยู่ก็ตาม ระดับเครดิตของประเทศไทยอาจจะลดลง หากการแบ่งแยกทางการเมืองนำไปสู่ความไม่สงบและความรุนแรง อันจะส่งผลกระทบในทางลบต่อตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการคลัง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอาจทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยชะงักงันได้ในอนาคต ในทางกลับกัน ระดับเครดิตของประเทศไทยอาจได้รับการปรับสูงขึ้น หากการแบ่งแยกทางการเมืองยุติลงและตัวชี้วัดที่สนับสนุนเครดิตของประเทศมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในการลงทุนและการดำเนินนโยบายการคลังที่มีวินัยอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง
0-2265-8050 ต่อ 5214
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 50/2551 13 มิถุนายน 51--