สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2551 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2551 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากอุปสงค์ภายนอกที่ขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อันเป็นผลจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง แต่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. การส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทำให้ดุลการค้ากลับมาเกินดุลในเดือนพฤษภาคม โดยมูลค่าส่งออกสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวด้านราคาส่งออกที่ร้อยละ 12.5 ต่อปี ขณะที่เป็นการขยายตัวในด้านปริมาณส่งออกที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นหลัก ขณะที่สินค้าในหมวดอื่น ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ และเกษตรกรรม เริ่มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่เมื่อพิจารณาในมิติด้านตลาดสินค้าส่งออกพบว่า มูลค่าการส่งออกในตลาดหลัก เช่น ยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น เริ่มมีทิศทางชะลอลง ขณะที่ในตลาดเกิดใหม่และตลาดภูมิภาคยังมีการขยายตัวได้ดี ยกเว้นในตลาดเวียดนาม ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่เริ่มมีสัญญาณการขยายตัวที่ชะลอลง สำหรับการนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2551 ขยายตัวชะลอลงเนื่องจากราคาสินค้านำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสินค้านำเข้า โดยมูลค่านำเข้าสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 14.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 15.7 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.4 ต่อปี ทำให้ในสองเดือนแรกของไตรมาสที่สองยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 30.0 ต่อปี ทั้งนี้ การขยายตัวของมูลค่านำเข้าในเดือนพฤษภาคมเป็นผลจากราคาสินค้านำเข้าที่ขยายตัวร้อยละ 17.4 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการนำเข้าเริ่มมีการหดตัวร้อยละ -1.4 ต่อปี โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงหดตัวถึงร้อยละ -30.4 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงขึ้นกว่ามูลค่าการนำเข้าทำให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคมเกินดุลที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2551 ยังคงขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(ณ ราคาคงที่) ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี ชะลอตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 12.2 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤษภาคมที่ยังขยายตัวดีที่ร้อยละ 17.4 ต่อปี แม้ว่าจะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 34.0 ต่อปี ทั้งนี้การบริโภคภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และส่งผลให้การบริโภคของประชาชนโดยเฉพาะระดับรากหญ้าเริ่มมีสัญญาณชะลอลง สะท้อนได้จากปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การบริโภคด้านสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤษภาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 29.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนรถยนต์ที่ใช้ E20 และก๊าซ NGV ของภาครัฐ สำหรับในระยะต่อไป ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งอาจเริ่มปรับลดลงเนื่องจากผลของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
3. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าและปริมาณการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี และร้อยละ 4.1 ต่อปี ตามลำดับ ชะลอลงจากการขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 25.1 และ 18.4 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักที่การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอลงมาจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การลงทุนเอกชนด้านการก่อสร้างวัดจากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 20.4 ต่อปี ลดลงจากที่ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.6 ต่อปีในเดือนเมษายน 2551 ที่เป็นเดือนแรกที่มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์มีผลบังคับใช้ ซึ่งส่งผลให้มีการทำธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
4. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่ารายได้สุทธิรัฐบาลเดือนพฤษภาคม 2551 สามารถจัดเก็บได้สุทธิ 273.3 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงในอัตราร้อยละ 12.1 ต่อปี โดยเป็นผลจากการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีการชำระภาษีรอบสิ้นปี 2550 ถึงร้อยละ 23.4 ต่อปี สะท้อนผลประกอบการที่ดีของภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 ทั้งนี้ กำไรสุทธิของนิติบุคคลที่สูงขึ้นส่งผลทำให้ภาษีฐานรายได้ขยายตัวถึงร้อยละ 21.5 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 8.0 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ภาษีฐานการบริโภคยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 14.4 ต่อปี ในการนี้ รายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บ ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจในภาพรวม ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 15.9 ต่อปี โดยมียอดจัดเก็บได้รวม 283.9 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายรัฐบาลในเดือนพฤษภาคม 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 126.8 พันล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -7.5 ต่อปี อันเป็นผลจากปัจจัยฐานจากการโอนรายจ่ายลงทุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่รัฐบาลได้โอนรายจ่ายลงทุนกว่า 30.2 พันล้านบาท เนื่องจากมีการเร่งโอนรายจ่ายลงทุนหลังจากการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าในช่วงต้นปี 2550 ทั้งนี้ รายจ่ายลงทุนของเดือนพฤษภาคม 2551 หดตัวลงถึงร้อยละ -71.6 ต่อปี อย่างไรก็ตามรายจ่ายประจำยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 19.9 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเบิกจ่ายรายการพิเศษ เช่น งบรายจ่ายหลักประกันสุขภาพ งบประมาณเพื่อการศึกษา เป็นต้น
5. สำหรับเครื่องชี้ด้านอุปทานในเดือนพฤษภาคมพบว่า ผลผลิตภาคบริการจากการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัวลงจากปัจจัยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เครื่องชี้ภาคบริการจากการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีมาก จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 18.7 ต่อปี ขณะที่เครื่องชี้ภาคการเกษตรขยายตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตทางการเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2551 ขยายตัวที่ร้อยละ 9.4 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ -1.6 ต่อปีในเดือนเมษายน เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังที่ออกมามากตามการเพาะปลูกเหลื่อมปี ขณะที่ผลผลิตการเกษตรที่สำคัญหลายประเภท เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และพืชผลไม้ขยายตัวได้ดีจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 37.4 ต่อปี อันเป็นผลจากราคาผลผลิตสำคัญเช่น ข้าวนาปรัง ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 92.3 ต่อปี ตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้เกษตรกรในเดือนพฤษภาคมยังคงขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 47.3 ต่อปี อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณของการขยายตัวที่ชะลอลง โดยพบว่าปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบที่ขยายตัวที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี ชะลอลงจากอัตราการขยายตัวร้อยละ 11.3 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า อันเป็นผลจากปัจจัยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น
6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 108.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเกินกว่า 4 เท่า ขณะที่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 6.2 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับอัตราการว่างงานเดือนเมษายน 2551 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม เนื่องจากการจ้างงานในภาคบริการที่ยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 36.9 ซึ่งต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะไว้ไม่เกินร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 13/2551 25 มิถุนายน 2551--
1. การส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทำให้ดุลการค้ากลับมาเกินดุลในเดือนพฤษภาคม โดยมูลค่าส่งออกสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวด้านราคาส่งออกที่ร้อยละ 12.5 ต่อปี ขณะที่เป็นการขยายตัวในด้านปริมาณส่งออกที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นหลัก ขณะที่สินค้าในหมวดอื่น ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ และเกษตรกรรม เริ่มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่เมื่อพิจารณาในมิติด้านตลาดสินค้าส่งออกพบว่า มูลค่าการส่งออกในตลาดหลัก เช่น ยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น เริ่มมีทิศทางชะลอลง ขณะที่ในตลาดเกิดใหม่และตลาดภูมิภาคยังมีการขยายตัวได้ดี ยกเว้นในตลาดเวียดนาม ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่เริ่มมีสัญญาณการขยายตัวที่ชะลอลง สำหรับการนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2551 ขยายตัวชะลอลงเนื่องจากราคาสินค้านำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสินค้านำเข้า โดยมูลค่านำเข้าสินค้ารวมในรูปดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 14.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 15.7 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.4 ต่อปี ทำให้ในสองเดือนแรกของไตรมาสที่สองยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 30.0 ต่อปี ทั้งนี้ การขยายตัวของมูลค่านำเข้าในเดือนพฤษภาคมเป็นผลจากราคาสินค้านำเข้าที่ขยายตัวร้อยละ 17.4 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการนำเข้าเริ่มมีการหดตัวร้อยละ -1.4 ต่อปี โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงหดตัวถึงร้อยละ -30.4 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงขึ้นกว่ามูลค่าการนำเข้าทำให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคมเกินดุลที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2551 ยังคงขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(ณ ราคาคงที่) ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี ชะลอตัวเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 12.2 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤษภาคมที่ยังขยายตัวดีที่ร้อยละ 17.4 ต่อปี แม้ว่าจะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 34.0 ต่อปี ทั้งนี้การบริโภคภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และส่งผลให้การบริโภคของประชาชนโดยเฉพาะระดับรากหญ้าเริ่มมีสัญญาณชะลอลง สะท้อนได้จากปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การบริโภคด้านสินค้าคงทนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤษภาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 29.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนรถยนต์ที่ใช้ E20 และก๊าซ NGV ของภาครัฐ สำหรับในระยะต่อไป ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งอาจเริ่มปรับลดลงเนื่องจากผลของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
3. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากมูลค่าและปริมาณการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี และร้อยละ 4.1 ต่อปี ตามลำดับ ชะลอลงจากการขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 25.1 และ 18.4 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักที่การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอลงมาจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การลงทุนเอกชนด้านการก่อสร้างวัดจากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 20.4 ต่อปี ลดลงจากที่ขยายตัวสูงมากที่ร้อยละ 44.6 ต่อปีในเดือนเมษายน 2551 ที่เป็นเดือนแรกที่มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์มีผลบังคับใช้ ซึ่งส่งผลให้มีการทำธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
4. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนพฤษภาคม 2551 พบว่ารายได้สุทธิรัฐบาลเดือนพฤษภาคม 2551 สามารถจัดเก็บได้สุทธิ 273.3 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับสูงในอัตราร้อยละ 12.1 ต่อปี โดยเป็นผลจากการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีการชำระภาษีรอบสิ้นปี 2550 ถึงร้อยละ 23.4 ต่อปี สะท้อนผลประกอบการที่ดีของภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 ทั้งนี้ กำไรสุทธิของนิติบุคคลที่สูงขึ้นส่งผลทำให้ภาษีฐานรายได้ขยายตัวถึงร้อยละ 21.5 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 8.0 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ภาษีฐานการบริโภคยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 14.4 ต่อปี ในการนี้ รายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บ ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจในภาพรวม ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 15.9 ต่อปี โดยมียอดจัดเก็บได้รวม 283.9 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายรัฐบาลในเดือนพฤษภาคม 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 126.8 พันล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -7.5 ต่อปี อันเป็นผลจากปัจจัยฐานจากการโอนรายจ่ายลงทุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่รัฐบาลได้โอนรายจ่ายลงทุนกว่า 30.2 พันล้านบาท เนื่องจากมีการเร่งโอนรายจ่ายลงทุนหลังจากการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าในช่วงต้นปี 2550 ทั้งนี้ รายจ่ายลงทุนของเดือนพฤษภาคม 2551 หดตัวลงถึงร้อยละ -71.6 ต่อปี อย่างไรก็ตามรายจ่ายประจำยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 19.9 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเบิกจ่ายรายการพิเศษ เช่น งบรายจ่ายหลักประกันสุขภาพ งบประมาณเพื่อการศึกษา เป็นต้น
5. สำหรับเครื่องชี้ด้านอุปทานในเดือนพฤษภาคมพบว่า ผลผลิตภาคบริการจากการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัวลงจากปัจจัยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เครื่องชี้ภาคบริการจากการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีมาก จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 18.7 ต่อปี ขณะที่เครื่องชี้ภาคการเกษตรขยายตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตทางการเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2551 ขยายตัวที่ร้อยละ 9.4 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ -1.6 ต่อปีในเดือนเมษายน เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังที่ออกมามากตามการเพาะปลูกเหลื่อมปี ขณะที่ผลผลิตการเกษตรที่สำคัญหลายประเภท เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และพืชผลไม้ขยายตัวได้ดีจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 37.4 ต่อปี อันเป็นผลจากราคาผลผลิตสำคัญเช่น ข้าวนาปรัง ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 92.3 ต่อปี ตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้เกษตรกรในเดือนพฤษภาคมยังคงขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 47.3 ต่อปี อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณของการขยายตัวที่ชะลอลง โดยพบว่าปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบที่ขยายตัวที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี ชะลอลงจากอัตราการขยายตัวร้อยละ 11.3 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า อันเป็นผลจากปัจจัยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น
6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 108.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นเกินกว่า 4 เท่า ขณะที่เสถียรภาพในประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 6.2 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับอัตราการว่างงานเดือนเมษายน 2551 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม เนื่องจากการจ้างงานในภาคบริการที่ยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 36.9 ซึ่งต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะไว้ไม่เกินร้อยละ 50.0 ของ GDP ค่อนข้างมาก
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 13/2551 25 มิถุนายน 2551--