Macro Morning Focus ประจำวันที่ 11 ส.ค. 2551
SUMMARY:
- สศช.มองว่าไทยควรมุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมดาวเด่น 10 อย่าง
- ราคาน้ำมันปรับลดลงช่วงสั้นแต่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
- Fannie Mae ขาดทุนกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
HIGHLIGHT:
1. สศช.มองว่าไทยควรมุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมดาวเด่น 10 อย่าง
- สศช. วิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในปี5 ปีข้างหน้า ซึ่งประเทศไทยควรจัดเป็นเป้าหมายส่งเสริมในอนาคตเพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม จำนวน 10 อุตสาหกรรม โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีบทบาทต่อโครงสร้างการผลิตของประเทศค่อนข้างสูงได้แก่ 1. อุตสาหกรรมปิโตรเลี่ยม ปิโตรเคมีและพลาสติก 2. อุตสหากรรมยานยนต์ 3. อุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 4. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 5. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่อุตสาหกรรมในกลุ่มที่ 2 ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง 2. อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป 3. อุตสาหกรรมกระดาษและเนื้อเยื่อ 4. อุตสาหกรรมเอทานอล 5. อุตสาหกรรมไบโอพลาสติก
- สศค. วิเคราะห์ว่า ขีดความสามารถของประเทศไทยในการจัดอันดับของ IMD ณ ปี 2551 อยู่ที่อันดับ 27 จาก 55 ประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่อันดับ 33 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดที่ต้องพัฒนาในด้าน 1) โครงสร้างพื้นฐานทั้งในเชิงคุณภาพและระบบสาธารณสุขและการศึกษา และ 2) ประสิทธิภาพธุรกิจ (Business productivity effiency) ที่อยู่เกือบอันดับท้ายสุดที่ 48
2. ราคาน้ำมันปรับลดลงช่วงสั้นแต่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
- สำนักข่าว เอเอฟพี เผยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมน้ำมันกล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในขณะนี้ปรับลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อาจดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากภาวะปริมาณการผลิตที่ชะงัก จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจนกลายเป็นภาวะผันผวนครั้งรุนแรงอีกครั้งในตลาดน้ำมัน
- สศค. วิเคราะห์ว่า จากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ สศค.คาดว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 51 จะยังคงอยู่ในระดับสูงช่วงระหว่าง 110-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์ต่อน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทานของน้ำมันดิบเพิ่มได้อย่างจำกัด ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้ายังคงมีการเก็งกำไรได้อีกในอนาคต
3. Fannie Mae ขาดทุนกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (Fannie Mae) ซึ่งเป็น 1 ใน 2 กิจการที่รัฐสนับสนุน (GSE) ที่ประสบปัญหาการเงินจากวิกฤต Sup-Prime เปิดเผยตัวเลขขาดทุนกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาดถึง 3 เท่า เนื่องจากมีการปล่อยกู้ให้ที่อยู่อาศัยประเภท Alternate-A ที่มีความเสี่ยงสูงรองลงจากสินเชื่อประเภท Sup-Prime ในขณะที่ Freddie Mac ซึ่งเป็น GSE ด้านอสังหาริมทรัพย์อีกแห่งประกาศผลขาดทุน 821 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 เท่าของที่คาด ซึ่งภาวะขาดทุนดังกล่าวทำให้ Fannie Mae ต้องระดมทุนเพิ่มกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- สศค. วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ 2 องค์กรขาดทุน เนื่องจากเข้ารับซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ และนำมาทำธุรกรรม Securitization หรือการรวมกลุ่มสินเชื่อต่างๆ เข้าด้วยกัน ก่อนจะตีตราค้ำประกัน และนำไปขายทอดตลาด เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคการเงิน อย่างไรก็ตาม การที่ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐเกิดวิกฤต Sup-Prime ขึ้น จึงทำให้สินเชื่อที่ทั้งสองสถาบันรับซื้อประสบปัญหา ทั้งนี้ การที่สถาบันทั้งสองค้ำประกันเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยเกือบครึ่งหนึ่งของสินเชื่อในสหรัฐทั้งหมด ทำให้ทางการต้องเข้าช่วยเหลือโดยจัดตั้งกองทุนจำนวน 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเงินกู้ฉุกเฉิน ซึ่ง สศค.เห็นว่า แม้ว่ากองทุนดังกล่าวจะสามารถเข้าช่วยเหลือปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินของทั้งสององค์กรได้บ้าง แต่อาจจะช้าเกินไปและไม่สามารถเข้าช่วงพยุงภาวการณ์ตกต่ำในระยะสั้นของภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐได้
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th