รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 11 กันยายน 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 11, 2008 12:11 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 11 ก.ย. 2551 
SUMMARY:
- ธนาคารโลกขยับไทยอันดับ 13 ประเทศน่าลงทุน
- เงินเฟ้อจีนลดลงส่งผลให้เกินดุลการค้า
- โอเปกปรับลดกำลังการผลิตลงเหลือ 5.2 แสนบาร์เรลต่อวัน
HIGHLIGHT:
1. ธนาคารโลกขยับไทยอันดับ 13 ประเทศน่าลงทุน
- ธนาคารโลก เผยแพร่รายงานวัดผลความสะดวกในการประกอบธุรกิจประจำปี 52 ซึ่ง ธ.โลกได้จัดให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจมากขึ้นในอันดับที่ 13 จาก 181 ประเทศทั่วโลกจากเมื่อปี 51 อยู่อันดับ 19
- ธ.โลก ปรับอันดับไทยดีขึ้น เนื่องจากการปฏิรูปกฎระเบียบและขั้นตอนของราชการเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจระยะหนึ่งปีที่ผ่านมา เช่น ปรับปรุงการให้บริการ ลดค่าธรรมเนียมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่มีรายได้ 1.2 ล้านบาทหรือน้อยกว่า แก้ไข พรบ.หลักทรัพย์ และ ต.หลักทรัพย์ ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ลดอัตราภาษีธุรกิจบางประเภทจากร้อยละ 6.3 เหลือ ร้อยละ 1.1 รวมถึงการผ่านสินค้านำเข้า-ส่งออก โดยการนำระบบอี-คอสตอมมาใช้
- สศค. วิเคราะห์ว่าการเลื่อนอันดับของไทยที่ดีขึ้นในฐานะประเทศน่าประกอบธุรกิจ สะท้อนถึงจุดแข็งด้านระบบให้บริการของราชการที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศมากขึ้นซึ่งช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจแก่นักลงทุนลงได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ หากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง เชื่อว่าจะส่งเสริมให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นได้อีกในระยะต่อไป
2. เงินเฟ้อจีนลดลงส่งผลให้เกินดุลการค้า
- การลดลงของราคาพลังงาน อาหาร และวัตถุดิบในตลาดโลกส่งผลให้จีนเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นและทำให้อัตราเงินเฟ้อของจีนเดือนส.ค. ลดลง โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนส.ค. ขยายตัวร้อยละ 23.1 ต่อปีชะลอลงมากจากเดือน ก.ค.ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.7 ต่อปี เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน เหล็ก และถั่วเหลือง ขณะที่การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 21.1 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าของจีนเกินดุลอยู่ที่ 28.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 15 ต่อปี ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าอาหารภายในประเทศ เช่น เนื้อหมู และน้ำมันพืช ก็เริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคเดือนส.ค. ขยายตัวเพียงร้อยละ 4.9 ต่อปี ต่ำกว่าเดือน ก.ค. ที่ร้อยละ 6.3 ต่อปี
- สศค. วิเคราะห์ว่า การเติบโตของการส่งออกของจีนที่ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง บวกกับการลดลงของระดับอัตราเงินเฟ้อที่จะช่วยให้การบริโภคขยายตัวมากขึ้น ถือเป็นหลักประกันสำคัญว่า GDP ของจีนในครึ่งปีหลังจะยังเติบโตได้ดี และเอื้อต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังด้วย
3. โอเปกปรับลดกำลังการผลิตลงเหลือ 5.2 แสนบาร์เรลต่อวัน
- ในช่วงต้นเดือนส.ค.51 ราคาน้ำมันในตลาดลอนดอนปรับตัวลงมาอยู่ที่ 99.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงต่ำกว่าระดับ 100 เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) ตัดสินใจลดกำลังการผลิตลง 5.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันช่วงซื้อขายวันที่ 10 ก.ย. ปรับขึ้นทันทีมาอยู่ที่ 104.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกลงโดยในปี 51 ระดับความต้องการลดลง 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่วนในปี 52 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.4 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากผู้บริโภคในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค หลังจากที่ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- สศค. วิเคราะห์ว่า การที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมานั้น สาเหตุหลักมาจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลกที่ลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป ปริมาณความต้องการใช้ดีเซลของจีนที่ลดลงหลังจบงานโอลิมปิก การพัฒนาพลังงานทดแทนที่มากขึ้น และการเก็งกำไรมีแนวโน้มลดลงจากค่าเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ สศค.คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 100-110 ดอลล่าร์/บาร์เรล ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อให้ชะลอลงจากครึ่งปีแรก
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ