ถึงเวลาหรือยังที่จะกำกับดูแล Investment Bank?

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 27, 2008 11:13 —กระทรวงการคลัง

ตั้งแต่ธุรกิจวาณิชธนกิจ หรือ Investment Bank ได้เกิดขึ้นมาในโลกเป็นเวลาหนึ่งพร้อมๆ กับการเกิดของนวัตกรรมทางการเงินต่างๆ ที่แตกต่างไปจากการนำเงินเข้าไปฝากกินดอกเบี้ยและการเข้าไปกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ ประเทศพัฒนาแล้วที่มีระบบการเงินค่อนข้างซับซ้อนอย่างสหรัฐอเมริกาก็เห็นเพียงแค่ว่าธุรกิจประเภทนี้ทำกำไรและสร้างสภาพคล่องให้กับระบบของตนเองอย่างมาก และเป็นธุรกิจที่วนเวียนอยู่ในกลุ่มนักลงทุนที่มีความรู้ โดยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ฝากเงินรายย่อยโดยตรงเหมือนกับ Commercial Bank หรือธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลกลางก็เลยไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปออกกฎระเบียบอะไรกำกับดูแล จนกระทั่งวันที่ Bear Stearns ซึ่งเป็น Investment Bank รายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ดำเนินกิจการมานานกว่า 85 ปีออกอาการร่อแร่จากผลกระทบของวิกฤติ subprime และความง่อนแง่นของบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคนทั้งโลกที่มีต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ จนต้องทำให้ Fed ต้องยื่นมือเข้าไปเจรจากับ JP Morgan Chase เพื่อให้เข้าไปอุ้ม Bear Stearns แล้วยังมาเจอเร็วๆนี้ที่ Lehman Brothers ที่เป็นวาณิชธนกิจขนาดใหญ่เป็นลำดับ 4 ของสหรัฐฯ ที่ยื่นคำร้องต่อศาลขอพิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างตื่นตระหนกแห่ขายหุ้นกันจนดัชนีตกต่ำ ยิ่งทำให้ Fed เก้าอี้ร้อนทั้งๆ ที่ Fed ไม่ได้มีหน้าที่อะไรเกี่ยวข้องกับ Investment Banks เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัวว่าพิษจากความตื่นตระหนกของผู้ฝากเงินจะทำให้สถาบันการเงินขาดสภาพคล่องกันไปเป็นลูกโซ่แล้วความเดือนร้อนก็จะมาตกลงที่ Fed อยู่ดี

สองสามเดือนที่แล้ว ทั้งประธาน Fed และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เคยจูงมือกันไปชี้แจงต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ ว่าสงสัยจะถึงเวลาแล้วหละ ที่ Fed จะต้องขยายขอบเขตการกำกับดูแลไปถึงการดำเนินกิจการของ Investment Bank ซึ่งนอกเหนือจากการหาคู่ที่เหมาะสมมาควบรวมกิจการ เหมือนกับที่กำลังทำกับ Lehman Brothers-Barclay และ Merrill Lynch-Bank of America ทุกวันนี้ ก็อาจจะรวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางสภาพคล่องในเวลาที่ Investment Bank ตกที่นั่งลำบากอีกด้วยมาดูว่า Investment Bank ทำธุรกิจอะไรกันถึงได้ต้องเดือนร้อนให้ธนาคารกลางต้องยื่นมือเข้ามากำกับดูแล ซึ่งจริงๆ แล้วแรกเริ่มเดิมที ธุรกิจดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อช่วยให้คำปรึกษาและช่วยดำเนินการในการระดมทุนในตลาดทุน (ทั้งหลักทรัพย์และตราสารหนี้) ให้กับบริษัทเอกชนและรัฐบาลประเทศต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการเป็นที่ปรึกษาเชิงเทคนิคในการควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Investment Bank ในประเทศไทยทำกันมาหมือนกัน แต่ทว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา Investment Bank ในสหรัฐกับแคนาดากลับขยายขอบเขตออกไปรวมถึงการเข้าไปลงทุนเองเพื่อซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ตราสารหนี้ ค้าเงินตรา สินค้าทุน และหลักทรัพย์เพราะเหมือนกับเป็นบริการต่อเนื่องจากการให้คำปรึกษาและการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ เพื่อเอาใจลูกค้าโดยการทำราคาหลักทรัพย์ในตลาด ให้สูงและเพื่อทำกำไรเข้ากระเป๋าบริษัทตัวเองด้วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ Investment Bank บางแห่งก็เข้าไปเป็นคนกลางในการช่วยบริหารกองทุนประเภทต่างๆ ทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคลกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และกองทุนเพื่อการเก็งกำไร

หลักๆ แล้ว Investment Bank ของสหรัฐฯ เขาแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วนประกอบด้วย Front Office, Middle Office และ Back Office ซึ่งสามส่วนนี้แยกการดำเนินการออกจากกัน

Front Office หรือ ส่วนที่ติดต่อกับลูกค้า ส่วนใหญ่จะทำงานเกี่ยวกับ 1) ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในการระดมทุนจากตลาดทุน รวมถึงการควบรวมและซื้อกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการที่บริษัทลูกค้าจะต้องออกหลักทรัพย์ใหม่เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว 2) การบริหารเงินทุนของลูกค้าเพื่อให้บรรลุผลตอบแทนที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งรวมถึงการซื้อขายหุ้น ตราสารต่างๆ ให้กับนักลงทุนประเภทสถาบัน เช่น บริษัทประกันชีวิต กองทุนรวม กองทุนบำเหน็จบำนาญ เป็นต้น 3) ทำราคาหลักทรัพย์ของลูกค้าให้สูงเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งส่วนมากเป็นการติดต่อโดยตรงกับนักลงทุนเป้าหมายให้มาลงทุนในหลักทรัพย์ของลูกค้า 4) การจัดโครงสร้างทางการเงินผ่านตราสารอนุพันธ์ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการต่อยอดการบริการลูกค้าเพื่อการทำราคาหลักทรัพย์ และให้ได้ผลตอบแทนที่สูง รวมถึงการช่วยบริหารความเสี่ยง 5) การทำวิจัย จัดทำรายงานภาวะตลาด ภาวะเศรษฐกิจประมาณการต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของลูกค้าในการจะลงทุนซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และ 6)การให้คำปรึกษาด้านกลยุทธในการลงทุนแก่ลูกค้าซึ่งคำปรึกษาเหล่านี้เป็นไปตามทิศทางและนโยบายการลงทุนของ Investment Bank แต่ละแห่ง

Middle Office หรือส่วนกลาง ส่วนนี้ไม่ต้องพบปะกับลูกค้า แต่ว่าทำหน้าที่หลักๆ คือ 1) บริหารความเสี่ยงของบริษัท โดยการวิเคราะห์ภาวะตลาดและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับคำแนะนำของที่ปรึกษาการลงทุนของในบริษัทแต่ละคนที่ให้กับลูกค้าแต่ละราย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในภาพรวมต่อบริษัทและสภาวะตลาด เพราะในทางปฏิบัติแล้วที่ปรึกษาการลงทุนแต่ละคนจะทำงานเป็นเอกเทศกันเพื่อกันปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่อย่างไรก็ตามส่วนกลางก็จะคุมในภาพรวมเพื่อป้องกันมิให้ตัวบริษัทต้องเสียหายจากการที่เกิดความขัดแย้งในการลงทุน 2) การบริหารกระแสเงินของบริษัทเพื่อไม่ให้บริษัทต้องตกที่นังลำบากหรือประสบปัญหาสภาพคล่อง รวมไปถึงการทำ Back Office หรือส่วนปฏิบัติการ ก็เป็นส่วนที่ดูแลด้านข้อมูล เอกสาร หลักฐานต่างๆ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด รวมถึงการจัดทำรายงานการเงิน ทำบัญชีของบริษัท และการจัดการด้าน IT ของบริษัท

ธุรกิจ Investment Bank ในปี 2550 ทำรายได้สูงถึง 84 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 21%จากปี 2549 แสดงให้เห็นว่าธุรกิจในสาขานี้กำลังเติบโตรุดหน้าไปอย่างน่าตกใจ รายได้ของธุรกิจนี้หลักๆมาจากค่าธรรมเนียมที่คิดกับลูกค้าในการให้คำปรึกษา การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และการค้าหลักทรัพย์เอง ซึ่งส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ Investment Bank นี้ 53% เป็นของสหรัฐฯ และราวๆ 32% เป็นของยุโรป ในขณะที่ 15% เป็นของตลาดในเอเซีย

ถึงแม้ว่า Investment Bank ในเอเซียและในประเทศไทยเองจะยังไม่ค่อยเติบโตมากนัก ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องโชคดีของไทยที่ทำให้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤติ subprime มากเท่ากับสหรัฐ และยุโรป แต่วิวัฒนาการของตราสารทางการเงิน ระบบการเงิน ตลาดทุน และการเชื่อมโยงแบบไร้พรมแดนของการลงทุนและกระแสเงินก็ทำให้ธุรกิจ Investment Bank ค่อยๆคืบคลานเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดการเงินของไทย เมื่อสหรัฐฯ กำลังเริ่มคิดหาทางที่จะกำกับดูแลธุรกิจ Investment Bank กันแล้ว ไทยในฐานะประเทศที่กำลังเดินไปสู่การเปิดเสรีตลาดเงินและตลาดทุน ก็ควรที่จะเริ่มดำเนินการบางอย่างในการวางแผนกำกับดูแลธุรกิจ Investment Bank เพื่อไม่ให้คนไทยต้องมานั่งกิน “ต้มยำกุ้ง” หม้อใหญ่เป็นรอบสองในวันข้างหน้า

โดย พรวสา ศิรินุพงศ์

หัวหน้าฝ่ายเปิดเสรีบริการ

ด้านการเงินยุโรป-อเมริกา

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ