วิกฤตการเงินกับระบบประกันเงินฝาก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 1, 2008 10:49 —กระทรวงการคลัง

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบการเงินในปัจจุบันมีการขยายขอบเขตการให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยการทำธุรกรรมและนวัตกรรมทางการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งส่งผลให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่นใน การบริหารจัดการและการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินจึงเป็นสิ่งที่สถาบันการเงินต้องตระหนักและรักษาไว้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ระดับความเชื่อมั่นที่มีต่อระบบสถาบันการเงินลดลงย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของสถาบันการเงินนั้นๆ ด้วย โดยเห็นได้จากปัจจุบันสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ได้ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของโลกเป็นอย่างมาก ทำให้รัฐบาลของหลายๆ ประเทศได้นำมาตรการต่างๆ มาใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤตการเงิน โดยหนึ่งในหลายมาตรการนั่น คือ การใช้กลไกของระบบประกันเงินฝากดังนั้น บทความนี้จะอธิบายว่า ทำไมระบบประกันเงินฝากจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายๆ ประเทศนำมาใช้ในช่วงวิกฤตการเงินครั้งนี้

วิกฤตการเงินในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกนั้น มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โดยเฉพาะธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Securitization ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และวาณิชธนกิจต่างๆ ทั่วโลก ธุรกรรมดังกล่าวสามารถแปลงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง โดยธนาคารพาณิชย์จะปล่อยสินเชื่อแล้วนำสินเชื่อดังกล่าวขายต่อไปในรูปแบบการแปลงสินเชื่อให้เป็นหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็น Loan Originator ทั้งนี้ สินเชื่อที่ว่าจะรวมถึงภาระหนี้สินประเภทต่างๆ เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อรถ สินเชื่อการศึกษา หลักทรัพย์จำนองและสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Subprime lending) เป็นต้น หลักทรัพย์ประเภทที่กล่าวนี้มีปริมาณการซื้อขายและลงทุนในสัดส่วนที่สูงมาก และเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั่วๆ ไป จึงส่งผลให้ Loan Originator ส่วนใหญ่เร่งปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ความเสี่ยงของตัวธนาคารพาณิชย์เองแล้ว จึงทำให้มาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อโดยรวมถูกละเลยและมองข้ามไป

การปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ตามปกติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาแหล่งเงินกู้อื่น แต่ผู้กู้จะต้องชดเชยความเสี่ยงของผู้ปล่อยกู้ด้วยการจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าปกติ และมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน ซึ่งสินเชื่อส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัย (Subprime Mortgage) เพราะโดยทั่วไปผู้กู้มักจะไม่ละทิ้งหลักประกันที่เป็นที่อยู่อาศัย อีกทั้ง หลักประกันประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีมูลค่าที่สามารถครอบคลุมวงเงินกู้ได้ จึงทำให้ดูเหมือนว่าผู้กู้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงไม่มากนัก ประกอบกับในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มผู้ปล่อยกู้เหล่านี้แข่งขันกันปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้รายเดิมและรายใหม่โดยการเสนอเพิ่มวงเงินกู้ที่สูงขึ้นตามราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้เองจึงส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในปี 2550 Subprime Mortgage มีมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการชะลอและ ถดถอย จึงทำให้การผ่อนชำระหนี้เริ่มมีปัญหา ผู้กู้มีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น และยิ่งไปกว่านี้ตราสารทางการเงินที่มาจากการทำ Securitization กับสินเชื่อ Subprime ในรูปแบบของ Asset-Back Securities (ABS) และ Credit Derivatives ได้กระจายตัวและมีการจำหน่ายให้นักลงทุนทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกได้ดำเนินการตัดหนี้สูญหรือยอมขาดทุนจากสินเชื่อด้อยคุณภาพไปแล้วประมาณ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้ประมาณการความเสียหายของ Subprime ในระบบการเงินทั่วโลกในช่วงปี 2551 อาจเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท) และสถานการณ์ได้บานปลายไปยังทวีปยุโรปหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ปล่อยให้ Lehman Brother Holdings Inc. ที่เป็นวาณิชธนกิจอันดับ 4 ของโลกต้องล้มละลาย โดยมิได้ให้ความคุ้มครองกับเจ้าหนี้ที่ซื้อพันธบัตรของ Lehman Brother Holdings Inc. ซึ่งจะแตกต่างจากการล้มละลายของ Bear Sterns และ Washington Mutual Fund ที่ JP Morgan Chase เป็นผู้ซื้อกิจการและการล้มละลายของ Merrill Lynch ที่ Bank of America เป็นผู้ซื้อกิจการโดยยังคงให้การคุ้มครองเจ้าหนี้เดิมด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ขาดความมั่นใจและไม่กล้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกใหม่ ทำให้ธุรกิจที่จะระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องสถาบันการเงินต่างก็ขาดความเชื่อมั่นระหว่างกัน จึงหลีกเลี่ยงการให้กู้ยืมเพื่อป้องกันความเสี่ยงเพราะที่ผ่านมาต่างมีปัญหาขาดทุนจากการไปลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าลดลงทำให้หลักประกันเงินกู้ยืมเสื่อมราคาลง ส่งผลให้ฐานะเงินกองทุนของสถาบันการเงินลดลงด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝากเงินเริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินและระบบสถาบันการเงิน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกได้ดำเนินการตัดหนี้สูญหรือยอมขาดทุนจากสินเชื่อด้อยคุณภาพไปแล้วประมาณ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้ประมาณการความเสียหายของ Subprime ในระบบการเงินทั่วโลกในช่วงปี 2551 อาจเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท) และสถานการณ์ได้บานปลายไปยังทวีปยุโรปหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ปล่อยให้ Lehman Brother Holdings Inc. ที่เป็นวาณิชธนกิจอันดับ 4 ของโลกต้องล้มละลาย โดยมิได้ให้ความคุ้มครองกับเจ้าหนี้ที่ซื้อพันธบัตรของ Lehman Brother Holdings Inc. ซึ่งจะแตกต่างจากการล้มละลายของ Bear Sterns และ Washington Mutual Fund ที่ JP Morgan Chase เป็นผู้ซื้อกิจการและการล้มละลายของ Merrill Lynch ที่ Bank of America เป็นผู้ซื้อกิจการโดยยังคงให้การคุ้มครองเจ้าหนี้เดิมด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ขาดความมั่นใจและไม่กล้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกใหม่ ทำให้ธุรกิจที่จะระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องสถาบันการเงินต่างก็ขาดความเชื่อมั่นระหว่างกัน จึงหลีกเลี่ยงการให้กู้ยืมเพื่อป้องกันความเสี่ยงเพราะที่ผ่านมาต่างมีปัญหาขาดทุนจากการไปลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าลดลงทำให้หลักประกันเงินกู้ยืมเสื่อมราคาลง ส่งผลให้ฐานะเงินกองทุนของสถาบันการเงินลดลงด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝากเงินเริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินและระบบสถาบันการเงิน

ระบบประกันเงินฝากเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยรองรับภาวะวิกฤตการเงินที่ต้องการมุ่งเน้นการช่วยเหลือกลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อย (Micro unit) ที่เป็นผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ในระบบการเงิน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะแตกต่างจากมาตรการช่วยเหลือโดยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินโดยตรง การรักษาระดับความเชื่อมั่นของผู้ฝากรายย่อยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความเชื่อมั่นมีแนวโน้มลดลงหมายถึง ความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินที่มีต่อสถาบันการเงินจะลดลงตามไปด้วย และเป็นสาเหตุให้ผู้ฝากเริ่มถอนเงิน ออกจากสถาบันการเงิน จนอาจเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Bank run ขึ้นได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะส่งผลให้เงินในระบบขาดสภาพคล่อง ปริมาณเงินในระบบลดลง ทำให้ไม่เกิดการจ้างงาน อัตราการผลิตลดลง และยิ่งไปกว่านั้นปัญหาเหล่านี้อาจนำมาสู่ภาวะที่เรียกว่า กับดักสภาพคล่อง (Liquidity trap) ซึ่งเป็นภาวะที่นโยบายการเงินไม่สามารถช่วยเหลือได้ เพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจที่จะลงทุนดังนั้น รัฐบาลของประเทศต่างๆ จึงตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาระดับความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน เพราะหากความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินหายไปก็อาจจะเป็นการยากที่จะเรียกความเชื่อมั่น กลับคืนมาใหม่

กล่าวโดยสรุปคือ เครื่องมือหรือมาตรการที่หลายๆ ประเทศนำมาใช้เพื่อยับยั้งวิกฤตการเงินหรือป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามไปยังหน่วยธุรกิจอื่นๆ คือ การนำระบบประกันเงินฝากมารักษาระดับความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินที่มีต่อสถาบันการเงินไม่ให้ลดลง โดยการเพิ่มระดับวงเงินจ่ายคืน ให้กับผู้ฝากเงินหรือการคุ้มครองเงินฝากแบบเต็มจำนวน

โดย รานี อภิญญาวัตร, พีรกานต์ บูรณากาญจน์, กาญจนา ตั้งปกรณ์, จรัสวิชญ สายธารทอง

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ