คำแถลงข่าวการยืนยันระดับเครดิตของประเทศไทย โดยบริษัท Rating & Investment Information, Inc. (R&I)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 27, 2009 13:32 —กระทรวงการคลัง

กระทรวงการคลังโดยนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะขอเรียนว่า R&I ได้แถลงข่าวผลการวิเคราะห์เครดิตของประเทศไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการจัดระดับเครดิต (Rating Committee) ได้ยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Issuer Rating) ที่ระดับ BBB+ และยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Short Term Credit Rating) ที่ระดับ a-2 โดยมีแนวโน้มของเครดิตในระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook) พร้อมทั้งยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Domestic Currency Issuer Rating) ที่ระดับ A- ซึ่ง R&I ได้ให้เหตุผลของการยืนยันระดับเครดิตดังกล่าวข้างต้นโดยสรุป ดังนี้

1. การขาดเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศของประเทศไทย ซึ่งส่งสัญญาณว่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 และเป็นปัจจัยสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 ได้ถูกบั่นทอนลงไป โดยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ได้หดตัวร้อยละ 4.3 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และในปี 2551 เศรษฐกิจขยายตัวเพียงร้อยละ 2.6 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนคนว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิตและการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องมาจากความเสื่อมถอยลงของความเชื่อมั่นที่มีต่อภาคธุรกิจและสภาพแวดล้อมในการลงทุน ซึ่งคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP) ในปี 2552 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0 หรือติดลบ

2. เนื่องจากการชะลอตัวลงของอุปสงค์ด้านต่างประเทศของประเทศไทย รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินของประเทศ เพื่อที่จะเร่งอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบาย เนื่องจากเห็นว่าแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนอุปสงค์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอายุการใช้งานนานและการลงทุน แม้ว่าเป็นการยากที่จะคาดการณ์เกี่ยวกับความมีเสถียรภาพของการจ้างงาน อย่างไรก็ดี ยังคงมีความหวังว่าภาคการบริโภคจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แต่หากความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยการปรับลด

อัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายอาจจะต้องพิจารณาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 และพยายามที่จะดำเนินมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการจัดทำงบประมาณขาดดุลคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของ GDP โดยหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ระดับร้อยละ 37 ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อย ทำให้รัฐบาลสามารถที่จะเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐได้โดยไม่กระทบต่อความยั่งยืนทางการคลัง

3. จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าความมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีรัฐบาลใหม่โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ความยุ่งเหยิงทางการเมืองยังคงมีอยู่ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ยังคงยืดเยื้อต่อไป รัฐบาลอาจไม่สามารถดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก

4. นอกจากฐานะการคลังและด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งแล้ว ประเทศไทยยังคงมีความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานด้านอุตสาหกรรมที่เปิดกว้าง ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค และความมีเสถียรภาพทางด้านสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าความยุ่งเหยิงทางการเมืองจะยืดเยื้อมาหลายปี แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากนัก จากที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้ R&I ยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Issuer Rating) ที่ระดับ BBB+ และยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Domestic Currency Issuer Rating) ที่ระดับ A- อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา R&I ได้ปรับลดแนวโน้มของระดับเครดิตของประเทศไทยจากระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เป็นระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook) สะท้อนให้เห็นถึงความยุ่งเหยิงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และการทบทวนผลการวิเคราะห์เครดิตของประเทศไทยในครั้งนี้ R&I เห็นว่า ระดับเครดิตของประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ความกดดันในทิศทางที่เป็นลบ จึงยังคงแนวโน้มของเครดิตในระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook)

5 เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มของรายได้จากการเก็บภาษีที่คาดว่าจะลดลงและมาตรการทางการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะขาดดุลทางการคลังมากไปกว่าที่เคยประมาณการไว้ และหากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจัยที่จะเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะปานกลางถึงระยะยาวให้กลับมาอีกครั้ง คือการลดความแตกต่างทางด้านรายได้ของประชาชนเป็นสำคัญ

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง

0-2265-8050 ต่อ 5510

--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 26/2552 26 กุมภาพันธ์ 52--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ