นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบาย กรมบัญชีกลางให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 ของหน่วยงานราชการ งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งงบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเตรียมการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2553
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการเปิดการประชุม/สัมมนาผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของกรมบัญชีกลาง วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2552 ถึงการมอบนโยบายให้กรมบัญชีกลาง สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานราชการปีงบประมาณ 2552 โดย ตั้งเป้าหมายเร่งเบิกจ่าย สำหรับ 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 ให้สูงกว่าร้อยละ 46 ของงบประมาณ หรือ 844,100 ล้านบาท ล่าสุดการเบิกจ่ายถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 706,889 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.5 ของงบประมาณปีงบประมาณ 2552 ที่เป็นจำนวน 1,835,000 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายปีงบประมาณปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 94 ของงบประมาณ หรือ 1,724,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี 116,000 ล้านบาท สำหรับส่วนราชการที่มีงบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท มี 21 แห่ง และเบิกจ่ายช้าคือ กรมราชทัณฑ์ กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีผลเบิกจ่ายร้อยละ 0.35 0.97 1.44 และ 2.90 ตามลำดับ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีงบประมาณรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท มี 4 แห่ง และเบิกจ่ายช้าคือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย โดย 2 หน่วยงานยังไม่มีการเบิกจ่ายเลย
2. การเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมกลางปีงบประมาณ 2552 จำนวน 116,000 ล้านบาท ที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทสำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนในระบบประกันสังคมและภาคราชการ ที่มีผู้มีสิทธิประมาณ 9.4 ล้านคน โดยล่าสุดกรมบัญชีกลางได้ออกหลักเกณฑ์รองรับการออกเช็ค 2,000 บาทดังกล่าว และเตรียมเบิกจ่ายงบประมาณ 9,000 ล้านบาท สำหรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ที่จะได้รับเงิน 500 บาทต่อเดือน โดยผู้มีสิทธิประมาณ 5 ล้านคน ตลอดจนงบประมาณ 3,000 ล้านบาท สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 9.8 แสนคน
3. การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2553 โดยเมื่อวันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการใช้วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท สำหรับงบประมาณปี 2553 โดยกระทรวงการคลังมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายที่สำคัญคือ เมื่อเริ่มปีงบประมาณใหม่ 1 ตุลาคม 2552 ขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ มีการเซ็นต์สัญญาหรือเริ่มดำเนินโครงการหรือจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนราชการต่าง ๆต้องเตรียมโครงการก่อนเริ่มปีงบประมาณ เพื่อมิให้เกิดปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าเหมือนเช่นที่ผ่านมาทุกปี และการพิจารณายกเลิกการตั้งงบเหลื่อมปี หากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ได้ทันภายในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลจะตัดงบปี 2553 ที่ขอไว้ทั้งหมด
4. การสนับสนุนการลงทุนของประเทศ โดยที่การลงทุนของประเทศมีความสัมพันธ์กับการจ้างงาน กระทรวงการคลังต้องไม่สร้างปัญหาอุปสรรค และต้องสนับสนุนการลงทุนของประเทศ ทั้งการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนของโครงการตามนโยบายรัฐบาลและโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ปรับปรุง พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (หรือ พรบ.ร่วมทุน 2535) ที่เป็นปัญหาสำคัญ แก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... เพื่อความคล่องตัว การลดขั้นตอนวิธีการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ และศึกษาการเพิ่มการจ่ายล่วงหน้าจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 25 และ การลดอุปสรรค e-auction เป็นต้น
5. การเพิ่มประสิทธิภาพโดยการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบ GFMIS การที่กรมบัญชีกลางมีการนำระบบ IT เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานทำให้การปฏิบัติงานมีความสะดวกรวดเร็ว ต้องเร่งพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบอื่นๆ ของการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะระบบจะช่วยสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และควรพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะได้สามารถรองรับกับการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะได้มาดำเนินการเบิกจ่ายตรงในระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลางต่อไป
ท้ายที่สุด รัฐมนตรีช่วยกล่าวว่า ในปี 2552 เม็ดเงินจำนวนกว่า 2.6 ล้านล้านบาท จากงบประมาณปี 2552 (1.84 ล้านล้านบาท) งบประมาณเพิ่มเติมกลางปี (1.16 แสนล้านบาท) งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ (3 แสนล้านบาท) และงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3.6 แสนล้านบาท) รวมทั้งงบประมาณปี 2553 มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมาก กรมบัญชีกลางต้องเร่งทำงานให้รวดเร็ว เสียสละตลอดจนดำเนินการอย่างโปร่งใส ถูกต้องและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง
โทร. 0-2271-0686-90 ต่อ 4612 , 4738
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 29/2552 12 มีนาคม 52--