บทสรุปผู้บริหาร: บทวิเคราะห์เรื่อง จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกสู่วิกฤตการจ้างงานไทย : ไฟไหม้ฟางที่ยังไม่รู้วันดับ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 8, 2009 13:56 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการหดตัวรุนแรง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตต้องปรับลดกะชั่วโมงการทำงานและ/หรือปลดคนงาน หากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ท้ายสุดโรงงานขาดทุน จนต้องปิดกิจการลงและทำให้คนตกงานจำนวนมากเกิดผลกระทบในวงกว้าง ทำให้เราต้องเฝ้าระวังภาวะการจ้างงานอย่างใกล้ชิดและไม่ควรใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว

แรงงานภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ (มีแรงงานรวมกัน 2.5 ล้านคน)

มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเริ่มมีการลดชั่วโมงการทำงานของแรงงานลงแล้ว ในกลุ่มแรงงานที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง และระหว่าง 40-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่างก็ปรับตัวลดลง แต่ไปเพิ่มจำนวนในกลุ่มที่มี

1. โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 คือ การจ้างงานลดลง และ GDP ที่หดตัว

เมื่อครั้งวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540-2541 หรือที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ส่งผลให้มีคนว่างงานสูงถึง 1.4 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 4.4 ของกำลังแรงงานรวม มาบัดนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ที่มีต้นตอจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า "วิกฤตแฮมเบอเกอร์" และลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ส่งผลให้ห่วงโซ่ด้านอุปทานในทุกประเทศรวมทั้งไทยเผชิญมหันตภัยเดียวกันคือ การส่งออกสินค้าและบริการหดตัวอย่างรุนแรง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตต้องปรับลดชั่วโมงการทำงานและ/หรือปลดคนงาน ท้ายที่สุดเมื่อโรงงานขาดทุน จนต้องปิดกิจการลงจะทำให้มีคนตกงานจำนวนมาก การบริโภคและการลงทุนจะชะลอตัวตามมา อุปมาอุปมัยเหมือนไฟไหม้ฟาง และที่สำคัญไม่รู้ว่าจะดับลงเมื่อใด ผู้คนส่วนใหญ่จึงตั้งคำถามว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ลุกลามเข้ามาในเศรษฐกิจไทยจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของไทยมากน้อยเพียงใดจะเทยบเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปี 2540-2541 หรือไม่ และแรงงานกลุ่มไหนคือกลุ่มเสี่ยงต่อการลดกะการทำงานและหรือปลดออกจากงานมากที่สุด

ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2552 จะหดตัวร้อยละ -2.5 ต่อปี เทียบกับปี 2551 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อปี โดยในไตรมาส 4 ปี 2551 หดตัวถึงร้อยละ -4.3 ต่อปี และเป็นการหดตัวในภาคอุตสาหกรรมและบริการถึงร้อยละ -6.8 และ -3.7 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งสอดรับกับการลดลงของการจ้างงานและการเพิ่มขึ้นของคนว่างงาน แม้ว่าภาคเกษตรจะสามารถดูดซับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอุตสาหกรรมได้ดี ระดับหนึ่งก็ตาม ดังนั้น เราควรสนใจและเฝ้าระวังภาวะการจ้างงานควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออก (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ) รวมทั้งแรงงานในภาคบริการ 3 สาขา ( โรงแรมและภัตตาคาร ขนส่ง และ ก่อสร้าง )

ปี 2551 การจ้างงานเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 36,972,600 คน มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 702,800 คน หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อปี เมื่อพิจารณาในภาคอุตสาหกรรมจะพบว่ามีการจ้างงานลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 9 เดือน โดยในเดือนมกราคม 2552 การจ้างงานลดลงถึง 543,300 คน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อนหรือคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -8.5 ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบสู่ภาคเศรษฐกิจจริงอย่างชัดเจนแล้วในภาคอุตสาหกรรม

ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนโดยภาคการส่งออกเป็นหลัก (มีสัดส่วนร้อยละ 64 ของ Nominal GDP) โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้อุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมแต่ละประเทศลดลง ส่งผลให้ภาคการผลิตต้องลดกำลังการผลิตและกระทบไปยังแรงงานในภาคการผลิตอุตสาหกรรม มีการจ้างงานที่ 5.7 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานรวม พบว่าในปี 2551 มีการจ้างงานลดลงเฉลี่ยเดือนละ 186,800 คน หรือคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -3.1 ต่อปี ทั้งนี้ การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 ถึงมกราคม 2552 สาเหตุที่การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมหดตัวลง เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัวลงไดฉุดให้การส่งออกสินค้าของประเทศไทยหดตัวลงมาก จนส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยไปต่างประเทศ และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 หดตัวลงถึงร้อยละ -18.8 และ -24.4 ต่อปี นอกจากนี้ อุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอมาก โดยเฉพาะการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าลดลง ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการลดกำลังการผลิตและลดจำนวนการจ้างงานลง ทั้งนี้อุตสาหกรรมสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงประกอบด้วย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับซึ่งทั้ง 4 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลักและมีจำนวนแรงงานรวมกัน 2,500,756 คน

การจ้างงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการผลิตสินค้าประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องวิดีโอ และเครื่องเสียง อุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนในมูลค่าสินค้าส่งออกถึงร้อยละ 27.6 และมีสัดส่วนในผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 17.9 ในปี 2551 อุตสาหกรรมนี้มีจำนวนการจ้างงาน 474,011 คน ลดลงจากปี 2550 จำนวน 46,120 คน หรือคิดเป็นการหดตัวลงร้อยละ -8.9 ต่อปี อุตสาหกรรมนี้จัดว่ามีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะมีการเลิกจ้างแรงงานเพราะทั้งปริมาณการส่งออกและปริมาณผลผลิตหดตัวลงอย่างมากโดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 หดตัวลงแล้วร้อยละ -35.0 และ -40.0 ต่อปีตามลำดับ

การจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งรวมถึงการผลิตสินค้าประเภทรถยนต์นั่ง รถปิกอัพ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ และรถจักรยาน อุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนในมูลค่าสินค้าส่งออกร้อยละ 10.1 และมีสัดส่วนในผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 5.4 ในปี 2551 อุตสาหกรรมนี้มีจำนวนการจ้างงาน 336,210 คน* ลดลงจากปี 2550 จำนวน 9,979 คน หรือคิดเป็นการหดตัวลงร้อยละ -2.9 ต่อปี อุตสาหกรรมนี้ชี้ชัดว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะมีการเลิกจ้างแรงงานเช่นกันเพราะปริมาณการส่งออกและปริมาณผลผลิตยานยนต์หดตัวลงมากในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 ที่ร้อยละ -37.4 และ -43.6 ต่อปีตามลำดับ นอกจากนั้นการที่บริษัทรถยนต์ต่างๆ มีแผนการปรับลดสายการผลิตลงตามบริษัทแม่ในต่างประเทศย่อมส่งผลให้จะมีการลดจำนวนการจ้างงานลงอีกในอนาคตอันใกล้

o การจ้างงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งรวมถึงการผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชุดชั้นใน ถุงเท้า ถุงน่อง และถุงมือผ้า ในปี 2551 อุตสาหกรรมนี้มีจำนวนการจ้างงาน 1,125,202 คน ลดลงจากปี 2550 จำนวน 38,300 คน หรือคิดเป็นการหดตัวลงร้อยละ -3.3 ต่อปี

o การจ้างงานในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ ซึ่งรวมถึงการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ เฟอร์นิเจอร์โลหะ เครื่องประดับแท้ และเครื่องประดับอัญมณีเทียม ในปี 2551 อุตสาหกรรมนี้มีจำนวนการจ้างงานทั้งสิ้นเฉลี่ย 565,333 คน ลดลงจากปี 2550 จำนวน 49,167 คน หรือคิดเป็นการหดตัวลงร้อยละ -8.0 ต่อปี

จากปัญหาการจ้างงานที่หดตัวในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมไปยังภาคเกษตรและภาคบริการอื่นๆ ซึ่งภาคเกษตรสามารถดูดซับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอุตสาหกรรมได้ระดับหนึ่ง และเมื่อถึงฤดูว่างเว้นจากการผลิตภาคเกษตร แรงงานจะเคลื่อนย้ายกลับไปภาคอุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง โดยภาคเกษตรในปี 2551 มีการจ้างงานมากที่สุดถึง 14,238,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.5 ของการจ้างงานรวม คิดเป็นการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 274,200 คน หรือขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี สาเหตุการจ้างงานภาคเกษตรที่มีการขยายตัวได้ดีช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมากจึงเป็นสาเหตุจูงใจเกษตรกรให้เพาะปลูกเพิ่มขึ้น และส่งผลให้การจ้างงานในภาคเกษตรปรับตัวสูงขึ้นตาม

การจ้างงานภาคบริการ ซึ่งประกอบด้วย สาขาการค้าส่งค้าปลีก สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาก่อสร้าง สาขาการขนส่ง สาขาบริหารราชการแผ่นดิน สาขาการศึกษา สาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาการเงินการธนาคาร ซึ่งมีจำนวนการจ้างงานภาคบริการรวมทุกสาขาอยู่ที่ 16,986,900 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.9 ของการจ้างงานรวม โดยในปี 2551 ภาคบริการมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 620,000 คน หรือคิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อปี อย่างไรก็ตาม พบว่าผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศจนมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มายังประเทศไทยเริ่มหดตัวลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 ได้ส่งผลให้มีการจ้างงานในสาขาโรงแรมและภัตตาคารเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ทั้งนี้ ภาคบริการที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิดได้แก่ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร คมนาคมขนส่ง และก่อสร้าง จำนวนแรงงานภาคบริการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการลดการจ้างงานทั้ง 3 สาขา มีจำนวนแรงงานรวมกัน 5,849,600 คน ทั้งนี้ แรงงานที่มีความเสี่ยงจะถูกปลดออกจากงานเป็นอันดับแรก คือ แรงงานในบริษัทรับเหมาช่วง (Sub-contract) ระยะสั้น เนื่องจากมักจะไม่อยู่ในระบบสหภาพแรงงาน ทำให้สามารถเลิกการจ้างงานได้ง่าย และแรงงานในสถานประกอบการขนาดเล็ก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ทางเศรษฐกิจมากกว่าสถานประกอบการขนาดใหญ่

3. มีสัญญาณบ่งชี้ว่าแรงงานเริ่มถูกลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ลงแล้ว

เมื่อพิจารณาในปี 2551 จำนวนการจ้างงานของกลุ่มที่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีจำนวนลดลง 232,600 คน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ในขณะที่การจ้างงานที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานสูงกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไปยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น อาจมีสาเหตุจากในช่วงครึ่งปีแรก ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี ปริมาณการส่งออกสินค้าและปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวสูงมาก อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติขยายตัวสูงมาก ทำให้ผู้ประกอบการเร่งทำการผลิต และต้องจ้างงานเพิ่มหรือเพิ่มชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนแรกของปี 2552 การจ้างงานในกลุ่มที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานสูงกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และกลุ่มที่มีชั่วโมงทำงาน 40 -- 49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เริ่มมีการปรับตัวลดลง 1,160,600 คน และ 669,600 คน ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อาจมีสาเหตุจากการหดตัวของอุปสงค์ในสินค้าและบริการของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย มีผลให้ผู้ประกอบการตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิตและชั่วโมงการทำงานของแรงงานงานภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการบางกลุ่ม

เมื่อมีการลดชั่วโมงการทำงานของแรงงานที่อยู่ในกลุ่มมากกว่า 50 ชั่วโมงและระหว่าง 40-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้จำนวนแรงงานในกลุ่มที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มจำนวนมากถึง 2,089,900 คน เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวจำนวนการจ้างงานที่มีชั่วโมงน้อยๆ ก็จะเพิ่มขึ้น และหากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น จะมีการปลดลดคนงานประเภทจ้างเหมาออก (Sub-contract) เช่น ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ

4. อัตราการว่างงานในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำ แต่เริ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 2.4 ของกำลังแรงงานในเดือนมกราคม 2552

อัตราการว่างงานในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงาน หรือประมาณ 513,700 คน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบวิกฤติเศรษฐกิจปี 2541 ที่อัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 4.4 ของกำลังแรงงาน แต่คาดว่าในปี 2552 อัตราการว่างงานจะเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการลดชั่วโมงการทำงานลง หากสถานการณ์เลวร้ายลงจะนำไปสู่การปลดคนงาน เลิกจ้างและถ้าคนงานเหล่านั้นไม่สามารถหางานใหม่ทำได้ ก็จะถูกบันทึกเป็นผู้ว่างงาน

เมื่อพิจารณาเดือนมกราคม 2552 พบว่าจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 878,900 คน หรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 39.2 ต่อปี คิดเป็นอัตราการว่างงานถึงร้อยละ 2.4 ของกำลังแรงงาน สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของไทยและส่งผลกระทบต่อการลดการจ้างงานอย่างชัดเจน ในเดือนมกราคม 2552 และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ

5. หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงทุกๆ ร้อยละ 1.0 ต่อปี จะทำให้จำนวนการจ้างงานลดลง 333,000 คน

สำหรับปี 2552 สศค. คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวลงร้อยละ -2.5 ต่อปี ที่เทียบกับปี 2551 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อปีและคาดว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ของกำลังแรงงานหรือคิดเป็นจำนวน 1,400,000 คน เนื่องจากปัญหาการหดตัวของเศรษฐกิจโลกทวีความรุนแรงขึ้น การผลิตสินค้าและบริการต้องหยุดชะงักเพราะสินค้าคงคลังมีปริมาณสูงขึ้น อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว การเลิกจ้างงานแรงงานจะสูงขึ้นตามมา ประกอบกับอุปสงค์ภายในประเทศและ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัวอยู่

หากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง จะกระทบการจ้างงานมากน้อยเพียงใด จากแบบจำลองของสศค. พบว่า หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 1.0 ต่อปี จะส่งผลให้การจ้างงานของไทยลดลงจำนวน 330,000 คน

หากรัฐบาลต้องการรักษาระดับการจ้างงานไม่ให้ลดลงมากเกินไป จำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านรายจ่ายงบประมาณแผ่นดิน และโครงการลงทุน Mega Projects เพื่อให้เกิดการจ้างงานกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อดูแลไม่ให้เศรษฐกิจไทยหดตัวมากนัก และรักษาระดับการจ้างงานไว้ให้ได้

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ