Macro Morning Focus ประจำวันที่ 21 เม.ย. 2552
SUMMARY:
1. รัฐลดกรอบรายจ่ายปีงบประมาณ 53 ลง 1.2 แสนล้านบาท
2. ชี้รัฐบาลออกบอนด์ 1.5 หมื่นล้านอุ้มธุรกิจท่องเที่ยว
3. วิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มสิ้นสุดลง แต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
HIGHLIGHT:
1. รัฐลดกรอบรายจ่ายปีงบประมาณ 53 ลง 1.2 แสนล้านบาท
- นายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณากรอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 53 ใหม่ หลังประเมินผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาภายในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าต้องลดกรอบงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 53 ลง ราว 1-2 แสนล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ลดน้อยลง
- สศค. วิเคราะห์ว่า ก่อนหน้านี้ ครม. อนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 53 ไว้ที่ 1.9 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้คาดไว้ที่ 1.51 ล้านล้านบาท และคิดเป็นงบประมาณขาดดุลจำนวน 3.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 ของ GDP อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ถดถอยลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกประกอบกับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ ทั้งนี้ การปรับลดรายจ่ายงบประมาณดังกล่าวจะส่งผลให้ดุลงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลลดลงคิดเป็นจำนวน 2.7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของ GDP
2. ชี้รัฐบาลออกบอนด์ 1.5 หมื่นล้านอุ้มธุรกิจท่องเที่ยว
- นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลกำหนดให้การท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ ว่าเรื่องการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการปัญหาทางการเมืองส่งผลให้ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวประสบปัญหาไม่มีลูกค้า ส่งผลให้ขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินเดือนจ่ายพนักงาน ดังนั้นรัฐบาลควรให้กู้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยออกพันธบัตรระดมเม็ดเงิน 1.55 หมื่นล้านบาทมาปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรง
- สศค. วิเคราะห์ว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศโดยตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดช่วง 2 เดือนแรกปี 52 เดินทางเข้าประเทศ 2.5 ล้านคน คิดเป็นการหดตัวสูงถึงร้อยละ -16.3 ต่อปี ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยวโดยผ่านนโยบายด้านการใช้จ่ายงบประมาณกระทำได้จากงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในหลายโครงการที่สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อช่วยเหลือกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังจำเป็นต้องศึกษามาตรการความช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยวจากผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
3. วิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มสิ้นสุดลง แต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
- แหล่งข่าวซีบีเอส ได้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยว่าวิกฤติทางการเงินของสหรัฐมีแนวโน้มที่สิ้นสุดลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ จากที่ทางการสหรัฐออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสพปัญหาสภาพคล่องอันเป็นผลจากภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐแตก ซึ่งได้แก่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 0 ถึง 0.25 และการอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อลดภาวะเงินตึงตัวโดยเฉพาะการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน พบว่ายอดการซื้อขายที่ตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมีแนวโน้มสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญของการสิ้นสุดวิกฤตการเงินและเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคตอันใกล้
- สศค. วิเคราะห์ว่า ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐได้เริ่มส่งสัญญาณจะสิ้นสุดลง สะท้อนได้จากตัวเลขยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และงบการเงินของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้แก่ เจ.พี. มอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป มีผลกำไรในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 52 ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 28 ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th