รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 18, 2009 12:09 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 18 พ.ค. 2552

SUMMARY:

1. SME Bank ปล่อยกู้สูง 4 เดือนแรกปี 52 ขยายตัวมากถึงร้อยละ 35 ต่อปี

2. สอท. ประเมินการปรับเพิ่มภาษีน้ำมันอาจไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

3. สหรัฐเตรียมวางกรอบควบคุมตลาดซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงิน

HIGHLIGHT:
1. SME Bank ปล่อยกู้สูง 4 เดือนแรกปี 52 ขยายตัวมากถึงร้อยละ 35 ต่อปี
  • ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) เปิดเผยว่า ยอดอนุมัติสินเชื่อ 4 เดือนแรกปี 52 ของธนาคารเพิ่มขึ้น 9,000 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนมากถึงร้อยละ 35.0 ต่อปี เพื่อดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในปัจจุบันมี 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในปลายปี 52 จะลดลงประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารจะแยกสินทรัพย์ดีและสินทรัพย์เสียออกจากกันเพื่อให้บริหารง่าย และได้สั่งการให้ดำเนินคดีฟ้องร้องให้ตีทรัพย์ชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL ลดลงได้
  • สศค. วิเคราะห์ว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของ SME Bank ในวงเงิน 1 แสนล้านบาท และได้มีมาตรการเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารอีก 2.0 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารมีศักยภาพในการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นอันจะเป็นกลไกสำคัญตัวหนึ่งในการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย ต่อไป
2. สอท. ประเมินการปรับเพิ่มภาษีน้ำมันอาจไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันของรัฐบาลซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว(14 พ.ค.52) ว่า เป็นการเลือกช่วงการปรับขึ้นภาษีที่ไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่ปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยโดยตรง นอกจากนี้ หากปรับน้ำมันดีเซลขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า การประมงชายฝั่ง และภาคเกษตร
  • สศค. วิเคราะห์ว่า รัฐบาลได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซินจากอัตรา 3.7 บาทต่อลิตรเป็นอัตรา 7 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลจาก 2.4 บาทต่อลิตรเป็นอัตรา 5.3 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันคาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2.0 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 52 และมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5.0 หมื่นล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 53
3. สหรัฐเตรียมวางกรอบควบคุมตลาดซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงิน
  • ทางการสหรัฐได้เตรียมวางกรอบควบคุมการซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตทางการเงินในอนาคต ที่ผ่านมาสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งได้ลงทุนกับอนุพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ CDO และABS จนเป็นสาเหตุให้วาณิชธนกิจ เลห์เมน บราเธอร์ส ล้มละลาย ดังนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐจึงเตรียมออกมาตรการป้องกันโดยให้สถาบันการเงินที่ขายอนุพันธ์เพิ่มระดับทุน และต้องรายงานราคาซื้อขาย รวมทั้งกำหนดให้การซื้อขายอนุพันธ์ต้องผ่านการตรวจสอบจากภาครัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในธุรกรรมการเงิน
  • สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันปริมาณเงินซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ของโลกแต่ละวันสูงถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ณ.เม.ย.51 ซึ่งกลไกการกำกับดูแลของทางการยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การออกมาตรการการกำกับดูแลตลาดการเงินทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศถือเป็นส่วนสำคัญต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตลาดการเงินของโลก ซึ่งเป็นการป้องกันการเก็งกำไร (Excessive Speculation) อันเป็นสาเหตุของการเกิดวิกฤตการเงินโลกในปัจจุบัน

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ