รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 23, 2009 12:22 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 23 ก.ค. 2552

SUMMARY:

1. ค่ายรถยักษ์ใหญ่ “ ฮอนด้า-มิตซู-โตโยต้า ” คาดครึ่งหลังปี 52 ตลาดรถยนต์เริ่มฟื้นตัว

2. ราคาน้ำมันดิบแตะระดับ 65 ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์

3. เฟด ยืนยัน ตรึงดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง

HIGHLIGHT:
1. ค่ายรถยักษ์ใหญ่ “ ฮอนด้า-มิตซู-โตโยต้า ” คาดครึ่งหลังปี 52 ตลาดรถยนต์เริ่มฟื้นตัว
  • บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ชี้แจงถึงทิศทางตลาดรถยนต์ไทยว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดี ที่จะมีการกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มจะเห็นผลชัด และลูกค้าก็ให้การตอบรับรถรุ่นต่างๆ ของฮอนด้าดีต่อเนื่อง ทำให้ฮอนด้าคาดว่าตลาดรถยนต์ไทยโดยรวมปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.8 แสนคัน สำหรับแนวโน้มของตลาดในอนาคต รถยนต์ขนาดเล็กจะได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่ว่าตลาดรถยนต์เริ่มฟื้นตัว ขณะที่รองกกรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าซูซูกิยังคงจะลงทุนในอีโคคาร์ต่อไป
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การผลิตยานยนต์ของไทยยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่หด/ชะลอตัวลง และอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี นโยบายที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์อีโคคาร์จะสามารถช่วยให้มูลค่าการส่งออกรถยนต์ของไทยซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 11.0 ของมูลค่าการส่งออกรวมปรับตัวดีขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับตัวดีขึ้น
2. ราคาน้ำมันดิบแตะระดับ 65 ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
  • น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 74 เซ็นต์ ปิดที่ 64.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยช่วงหนึ่งของการซื้อขายทะยานขึ้นไปถึง 65.53 ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เช่น แคเทอร์พิลลาร์ อิงค์และเมอร์ค แอนด์ โค รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาสสองแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การบริโภคพลังงานของโลกลดลงอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 25 ปี หลังจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
  • สศค. วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นสูงเนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ 1) ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลงกว่า -2.8 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 344.5 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้ตลาดคาดว่าจะมีความต้องการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น 2) โรงกลั่นน้ำมันของจีนเพิ่มกำลังการผลิตอีกร้อยละ 6 ในเดือน มิ.ย. มาอยู่ที่ระดับ 7.77 ล้านบาร์เรล/วัน สูงสุดในประวัติการณ์หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มีปัจจัยที่ควรติดตามคือฤดูกาลเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกช่วง 1 มิ.ย. ถึง 30 ก.ย. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบในบริเวณดังกล่าวได้
3. เฟด ยืนยัน ตรึงดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
  • ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด รายงานต่อคณะกรรมาธิการการเงินสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่าเฟดจะยังคงตรึงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำระหว่างร้อยละ 0 - 0.25 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐยังมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 7.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสภาคองเกรสได้อนุมัติไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตามเป้าหมายสร้างงาน ซึ่งจะช่วยไม่ให้ประชาชนตกงานราว 3.5 ล้านคน รวมถึงจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคและสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อันจะส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนเฟดยืนยันว่าการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลจะถูกยกเลิกแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบการลงทุน
  • สศค. วิเคราะห์ว่า ที่ผ่านมานั้น Fed ได้ทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทั้งในรูปแบบปกติ โดยการใช้ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 0-0.25 และในรูปแบบพิเศษโดยการอัดฉีดสภาพคล่องฉุกเฉินเข้าสู่ภาคการเงินผ่านทาง (1) การเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงิน (2) การทำโครงการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐกับธนาคารกลางอื่น ๆ (3) การทำธุรกรรมในตลาดการเงินผ่านตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ และ (4) การซื้อตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์หนุนหลังเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่เด่นชัดนัก ทำให้เฟดยังคงต้องตรึงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทั้งนี้ สศค. คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐ ในปี 52 จะหดตัวที่ร้อยละ -2.7 ต่อปี

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ