รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 25 กันยายน 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 25, 2009 12:25 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 25 ก.ย. 2552

Summary:

1. ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น คาดแตะระดับ 16,400 บาท ในช่วงปลายปี

2. บริษัทยักษ์ใหญ่ค่ายรถยนต์ 3 ราย สนใจเพิ่มเงินลงทุนในไทย

3. ส่งออก-นำเข้าญี่ปุ่นทรุดต่อเนื่อง

Highlight:
1. ทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดแตะระดับ 16,400 บาท ในช่วงปลายปี
  • ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทฯ แม่ทองสุก เปิดเผยถึง สถานการณ์ของราคาทองคำในช่วงนี้ ค่อนข้างมีการแกว่งตัวในช่วงขาขึ้นจากที่แตะระดับสูงสุดในเดือน มี.ค.51 ซึ่งอยู่ที่ 1,032 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือคิดเป็นทองคำบาทละ 16,400 บาท เนื่องจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนมากนัก จึงส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯให้มีแนวโน้มอ่อนค่าลงและเป็นสาเหตุให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เริ่มถือทองคำแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯไว้มากขึ้น
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ สาเหตุมาจาก 1.สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจนมากนัก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าลง 2.ความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อในอนาคต 3.อัตราดอกเบี้ยที่แนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ 4.วันชาติของประเทศจีน 1 ต.ค. 52 ส่งผลให้จีนมีความต้องการถือทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวมาข้างต้น ทำให้คาดว่าราคาทองคำจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงในถึงช่วงปลายปี
2. บริษัทยักษ์ใหญ่ค่ายรถยนต์ 3 ราย สนใจเพิ่มเงินลงทุนในไทย
  • บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ 3 ราย ได้แก่ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ บริษัท เจเนอรัลมอเตอร์ส และ บริษัท ไครสเลอร์ ได้ยืนยันกับนายกรัฐมนตรีในการพบปะกับนักลงทุนที่จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ณ ประเทศสหรัฐฯ ว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอีกรายละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีบริษัท โคคา-โคลา อีก 1,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทคาร์กิลล์ ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าเกษตรในภูมิภาคนี้ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารร่วมกับไทยอีกด้วย
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้ออกมายืนยันที่จะเพิ่มการลงทุนในอนาคตนั้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งผ่านพ้นจุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 ของรัฐบาล รวมถึงมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในระยะต่อไป อันเป็นผลจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่จะส่งเสริมการลงทุนและสร้างศักยภาพการผลิตให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สศค. คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2552 มีแนวโน้มว่าจะหดตัวน้อยลง จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวที่ร้อยละ -2.5 ถึง -3.5 ต่อปี โดยจะประกาศประมาณการครั้งใหม่ในวันที่ 28 ก.ย. นี้
3. ส่งออก-นำเข้าญี่ปุ่นทรุดต่อเนื่อง
  • กระทรวงการคลังญี่ปุ่น ประกาศตัวเลขการส่งออกสินค้าในเดือน ส.ค.52 หดตัวร้อยละ -36.0 ต่อปี ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 และชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -36.5 ต่อปี และเมื่อทอนผลทางฤดูกาลแล้ว จะหดตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -0.7 (%mom) ในขณะที่การนำเข้าหดตัวร้อยละ -41.3 ต่อปี หดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -40.8 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือน ส.ค. 52 เกินดุล 185 พันล้านเยน
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การส่งออก-นำเข้าญี่ปุ่นที่ยังอ่อนแอ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์ภายนอกยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของต่างประเทศในช่วงก่อนหน้าก็ตาม นอกจากนี้ ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดแตะระดับ 91.19 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ (ณ 24 ก.ย. 52) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบต่อการส่งออกของญี่ปุ่นอีกด้วย อนึ่ง ญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 11.3 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย โดยสินค้าส่งออกหลักคือเครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจร และไก่แปรรูป การส่งออกของญี่ปุ่นที่ยังคงอ่อนแอ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตในหมวดสินค้าดังกล่าว

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ