นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า วันนี้ 13 ตุลาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 167 วรรคสามได้บัญญัติให้มีกฎหมายการเงินการคลังของรัฐเพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งจะต้องประกาศใช้ภายใน 2 ปีนับจากวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553)
อนึ่ง กฎหมายที่ว่าด้วยวินัยทางการคลังและการบริหารการคลังของประเทศได้แทรกอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยหนี้สาธารณะ และกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ซึ่งกฎหมายมีความไม่สอดคล้องกัน อีกทั้งกฎหมายบางฉบับมีอายุการใช้งานมายาวนาน จึงไม่สามารถครอบคลุมธุรกรรมบางประเภทหรือหน่วยงานภาคสาธารณะบางลักษณะได้
กฎหมายการเงินการคลังของรัฐจึงเป็นนวัตกรรมเชิงสถาบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความโปร่งใสทางการคลังของประเทศ ในขณะนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 13 ตุลาคม 2552 ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไป คือ การจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่และให้ความรู้แก่หน่วยงานที่มีผลผูกพันการปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ตามโครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว 3 ครั้งจากจำนวนทั้งสิ้น 9 ครั้ง
ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังฉบับนี้เป็นการสร้างแผนแม่บททางด้านการบริหารการคลังของประเทศ ซึ่งมีผลผูกพันการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาคสาธารณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ องค์การมหาชน องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กองทุนสาธารณะ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีสาระครอบคลุมถึงการกำหนดนโยบายการคลัง การวางแผนการคลังระยะปานกลาง การจัดหารายได้ การกำกับการใช้จ่าย การบริหารการเงินและทรัพย์สิน การบัญชีและการตรวจสอบภายใน กองทุนสาธารณะ การก่อหนี้ การรายงานและการประเมินความเสี่ยงทางการคลัง
สิ่งที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ให้ความสำคัญ คือ การสร้างมาตรฐานความโปร่งใสในการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานสาธารณะ เช่น การจัดทำบัญชีที่ได้มาตรฐาน การตรวจสอบภายใน การรายงานข้อมูลทางการคลัง และการประเมินความเสี่ยงทางการคลัง เป็นต้น ขณะเดียวกัน การตัดสินใจเชิงนโยบายก็จะให้เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการชุดต่างๆ เช่น คณะกรรมการ นโยบายการคลัง และคณะกรรมการนโยบายรายได้ เป็นต้น ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง อันจะทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการคลังมีความเป็นอิสระมากขึ้น
ทั้งนี้ การมีกรอบวินัยทางการคลังที่ชัดเจนในรูปของพระราชบัญญัติจะส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบทางการคลัง อันจะนำไปสู่การบริหารการคลังภาคสาธารณะที่ยั่งยืนและส่งเสริมความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่มีต่อภาคสาธารณะในที่สุด
สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0-2273-9020 ต่อ 3566 - 3586
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 145/2552 13 ตุลาคม 52--