สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเบื้องต้นมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน ประเทศที่แท้จริงซึ่งกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ร้อยละ 3.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 หลังจากหดตัวต่อเนื่อง ในช่วง 4 ไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวที่ร้อยละ 1.7 และร้อยละ6.4 ในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสแรกของปี 2552 ตามลำดับ ดังแผนภาพแสดงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปนี้
การขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2552 นั้น สืบเนื่องจาก (1) ปริมาณการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลที่แท้จริง (Real PCE) ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 3.4หลังจากหดตัวที่ร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กฎหมาย Cash-for-Clunkers Act ที่มีผลบังคับใช้ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งกระตุ้นปริมาณการใช้จ่ายด้านสินค้าคงทนได้ถึงร้อยละ 22.3 หลังจากหดตัวร้อยละ 5.6ในไตรมาสที่ 2 (2) ปริมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย (Non-residential fixedInvestment) ที่กระเตื้องขึ้น หลังจากตกต่ำต่อเนื่องนาน 15 ไตรมาส โดยมีอัตราการหดตัวที่ร้อยละ2.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 เปรียบเทียบกับร้อยละ 9.6 ในไตรมาสก่อนหน้า (3) ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวร้อยละ 14.7 หลังจากหดตัวร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และ(4) ปริมาณการลงทุนในสินค้าคงคลังของภาคเอกชนที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ0.94 หลังจากที่เป็นปัจจัยลบซึ่งกดดันให้เศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 1.42 ในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตามปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวด้วยอัตราต่ำกว่าไตรมาสก่อนหน้านับเป็นปัจจัยที่กดดันภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ ปริมาณการใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาสที่3 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.9 ลดลงจากอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 11.4 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552
ระดับราคาสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 หลังจากเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ทั้งนี้ หากไม่รวมสินค้าอาหารและพลังงาน ระดับราคาจะเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.5 เปรียบเทียบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้า
ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม 2550 จะเห็นได้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 นับเป็นผลจากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของทางการซึ่งมีผลบังคับใช้ชั่วคราว ที่มีส่วนกระตุ้นปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Cash-for-Clunkers ที่สนับสนุนการใช้จ่ายด้านยานพาหนะ โครงการส่งเสริมการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่านทางเครดิตภาษีมูลค่า8,000 เหรียญสรอ. แก่ผู้ซื้อบ้านครั้งแรก ตลอดจนมาตรการทางการเงินเพื่อตรึงอัตราดอกเบี้ยอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงเป็นที่น่าจับตามองถึงเสถียรภาพในการฟื้นตัวของ
ภาวะเศรษฐกิจต่อไป โดยเฉพาะผลกระทบจากแรงกดดันในตลาดแรงงาน ด้วยอัตราการว่างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นแตะระดับร้อยละ 9.8 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อีกทั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อาจชะลอตัวลงจากการสิ้นสุดของโครงการ Cash-for-Clunkers และโครงการเครดิตภาษีแก่ผู้ซื้อบ้าน ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตระหนักถึงความอ่อนไหวของเศรษฐกิจต่อการเพิกถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ รัฐบาลจึงอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและอาจพิจารณาต่ออายุโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นต่อไป
ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th