IMF โดย Regional Office for Asia Pacific โดยนาย Anoop Singh, Director Asia and Pacific Department ร่วมมือกับ ปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายต่างประเทศ (นาย Rintaro Tamaki) และ BOJ (นาย Hideaki Ono, Directorgeneral, International Department) ได้จัดสัมมนาเรื่องแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
1. แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ภูมิภาคเอเซียสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและสามารถฉุดให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกพ้นจากภาวะถดถอย มีการส่งออกเป็นปัจจัยหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิค (IT Products) มีการมีฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ
2. อุปสงค์ภายในประเทศ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมา
3. การคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการเงินของโลกได้ทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนฟื้นตัว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศกระเตื้องขึ้นอย่างมาก สถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อแก่ภาคเอกชน ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมีมากขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนด้านความ แข็งแกร่งอุปสงค์ภายในประเทศของภาคเอกชน (Private Domestic Demand)
4. ภูมิภาคเอเซียจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2553 แต่ในอัตราที่ช้าลง กว่าช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงได้แก่ — ด้านดีมานด์ การฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้วยังเปราะบาง ซึ่งปัจจุบันยังต้องพึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในขณะที่ฐานะการเงินภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ สถาบันการเงินชะลอการ ปล่อยกู้ ทำให้ต้องชะลอการลงทุนใหม่ๆ ในขณะที่ภาคครัวเรือนยังระมัดระวังการใช้จ่าย มีความกังวลจากการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนดีมานด์จากภายนอกประเทศยังไม่มากพอที่จะฉุดการเจริญเติบโตของเอเซียโดยรวมให้สูงขึ้นมากได้ - ด้านอุปทาน ภาคการผลิตยังอยู่ในระหว่างการปรับตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย วิกฤตเศรษฐกิจทำ ให้ฐานะเงินทุนของบริษัทอ่อนแอ ในขณะที่ Manufacturing Capacity Utilization ยังมีส่วนเกินที่จะสามารถขยายการผลิต โดยไม่ต้องมีการลงทุนใหม่
5. IMF ทำนายเศรษฐกิจเอเซียปี 2553 ว่าจะโตร้อยละ 5.8 เทียบกับปี 2552 ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งยังต่ำกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยร้อยละ 6.7 โดยจีนจะมีการเจริญเติบโตสูงสุดที่ร้อยละ 9 เป็นผลจากการลงทุนภาครัฐส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคเพิ่มขึ้น อินเดียจะโตร้อยละ 6.4 เป็นผลจากอุปสงค์ภายในประเทศที่เข้มแข็ง ภาคการเงินกลับสู่ภาวะปกติช่วยสนับสนุนการลงทุนของเอกชนให้สูงขึ้น กลุ่ม NIEs (ประกอบด้วยฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้) ซึ่งถดถอยลงในปี 2552 ร้อยละ -2.3 จะมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.7 ในขณะที่อาเซียน 5 อินโดนีเซียและเวียตนามมีอัตราการเจริญเติบโตที่สดใสจากปี 2552 ต่อเนื่องไปถึงปี 2553 ไทยและมาเลเซียซึ่งถดถอยในปี 2552 จะกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้งในปี 2553 โดยไทยคาดว่าจะโตที่ร้อยละ 3.7
ส่วนญี่ปุ่นซึ่งคาดว่าจะถดถอยในปี 2552 ทั้งปีร้อยละ -5.5 แต่จะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในปี 2553 ที่ร้อยละ 1.75 รายละเอียดตามตาราง
Asia Real GDP
(Year-on-Year percent change)
2008 2009 2010
Latest Projections
Industrial Asia -0.2 -4.4 1.7 Japan -0.7 -5.4 1.7 Australia 2.4 0.7 2.0 New Zealand 0.2 -2.2 2.2 Emerging Asia 6.8 5.1 7.0 NIEs 1.5 -2.3 3.7 Hong Kong SAR 2.4 -3.6 3.5 Korea 2.2 -1.0 3.6 Singapore 1.1 -1.7 4.3 Taiwan Province of China 0.1 -4.1 3.7 China 9.0 8.5 9.0 India 7.3 5.4 6.4 ASEAN 5 4.8 0.7 4.0 Indonesia 6.1 4.0 4.8 Malaysia 4.6 -3.6 2.5 Philippines 3.8 1.0 2.5 Thailand 3.8 1.0 3.2 Vietnam 2.6 -3.5 3.7 Emerging Asia (excluding China) 4.8 1.7 4.9 Emerging Asia (excluding China and India) 3.1 -0.8 3.8 Asia 5.1 2.8 5.8 ที่มา IMF
6. วิกฤตที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศต่างๆ ในเอเซียได้ใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเข้าแก้ปัญาหาอย่างจริงจัง เงินทุนเคลื่อนย้ายเริ่มไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคมากขึ้นหลังจากที่ลดลงอย่างมากช่วงเกิดวิกฤต จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้หลายประเทศเริ่มพิจารณาลดการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2553 ซึ่งในระยะสั้น IMF เห็นว่า ควรจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป เพราะเอเซียยังต้องพึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งยังมีความไม่แน่นอน แต่ก็เห็นว่าการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเอเซียจะมีผลกระทบน้อยกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว
7. ปัจจัยเสี่ยงในระยะยาวของเอเซียได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนในขณะที่ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญการขาดดุลงบประมาณเพิ่มมากขึ้น การปรับสมดุลทางเศรษฐกิจใหม่ทำได้โดยเพิ่มการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น กระตุ้นการบริโภค ผ่านมาตรการที่สามารถลดการออมของภาคเอกชน ขยายระบบประกันสังคม ปฏิรูประบบการเงิน เป็นต้น
นอกจากนี้ ความใช้มาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ด้านธุรกิจบริการ (Nontradable sectors) เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไปจากการส่งออก นอกจากนี้ต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจรวมทั้งด้านตลาดแรงงาน
สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง ประจำกรุงโตเกียว
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th