บทสรุปผู้บริหาร: บทวิเคราะห์เรื่อง อุตสาหกรรมโซ่ข้อกลางพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 11, 2009 15:10 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในด้านอุปทาน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 85 ของปริมาณการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ อีกทั้ง ยังความสำคัญต่อการจ้างงานในประเทศ โดยการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานทั้งหมด

จากข้อมูลล่าสุดในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 พบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ดัชนีแรงงานภาคอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ต่างปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกของไทยและสถานการณ์การบริโภคภาคเอกชนในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ทำให้คาดว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 ผลผลิตอุตสาหกรรมอาจจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี และคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2553 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศไทยและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

1. ความสำคัญของภาคอุตสาหกรรมต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในด้านอุปทาน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 85 ของปริมาณการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ อีกทั้ง ยังความสำคัญต่อการจ้างงานในประเทศ โดยการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานทั้งหมด ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจึงเป็นโซ่ข้อกลางของระบบเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับภาคแรงงานและภาคการส่งออกของประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงในภาคส่วนใดๆใน 3 ภาคส่วน (อุตสาหกรรม ส่งออก แรงงาน) จึงมีผลกระทบต่อภาคส่วนที่เหลือเสมอ

จากวิกฤต Sub—prime ในภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน 2551 ที่ได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกในเวลาต่อมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของไทยผ่านการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและจีน เมื่อยอดคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าปรับตัวลดลงก็ส่งผลทำให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ภาคธนาคารยังเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยขาดสภาพคล่องของเงินทุนหมุนเวียน เมื่อคำสั่งซื้อลดลงประกอบกับสภาพคล่องที่ฝืดเคือง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับลดต้นทุนด้วยการเลิกจ้างหรือลดชั่วโมงการทำงานลงจนเกิดเป็นวิกฤตแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ในเดือนมกราคม 2552 จำนวนผู้ว่างงานภาคอุตสาหกรรมในประเทศเพิ่มสูงถึง 1.8 แสนคนสูงสุดในรอบ 45 เดือน2 และการหดตัวของภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ GDP ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2552 หดตัวที่ร้อยละ -7.1 และ -4.9 ต่อปี ตามลำดับ

2. ภาพรวมภาคอุตสาหกรรม

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายงานดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ในไตรมาส 2 ปี 2552 หดตัวร้อยละ -10.7 ต่อปี หดตัวในอัตราชะลอลงจากไตรมาส 1 ปี 2552 ที่หดตัวร้อยละ -22.0 ต่อปี จากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น สาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวในอัตราชะลอลงในไตรมาส 2/2552 มาจากผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการผลิตเครื่องจักรสำนักงานประเภท Hard-Disk Drive การผลิตน้ำตาล การผลิตเพชรพลอยและรูปพรรณ และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สำหรับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2552 หดตัวที่ร้อยละ -8.6 ต่อปี หดตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -8.9 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออกพบว่าหดตัวร้อยละ -1.1 จากเดือนก่อนหน้า (%mom)3 ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย MPI ในช่วงเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2552 หดตัวที่ร้อยละ -8.7 ต่อปี ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 57.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2552 ที่ระดับ 53.9 ตามการผลิตที่ลดลง สำหรับดัชนีแรงงานภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2552 หดตัวร้อยละ -5.3 ต่อปี หดตัวชะลอลงจากไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ -7.6 ต่อปี และจากข้อมูลล่าสุดพบว่า ค่าเฉลี่ยของดัชนีแรงงานในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3 ปี 2552 ดัชนีแรงงานหดตัวที่ร้อยละ -5.1 ต่อปี หดตัวชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า

จากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่รายงานโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนสภาวะของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิตและผลประกอบการ พบว่าสอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมโดยในไตรมาส 2/2552 อยู่ที่ระดับ 79.4 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ระดับ 65.5 และจากข้อมูลล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2552 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 88.0 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 89.9 ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือน กรกฎาคม — สิงหาคม อยู่ที่ระดับ 88.9 ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ปรับตัวลดลงในเดือนสิงหาคม มีสาเหตุจากยอดคำสั่งซื้อยอดขาย ปริมาณการผลิตและผลประกอบการปรับตัวลดลง ประกอบกับต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมยังขาดแคลนและมีราคาสูง

ตารางแสดงภาพรวมภาคอุตสาหกรรม

อัตราการขยายตัว (%yoy)                   ปี 51     Q1/52     Q2/52     ก.ค.52     ส.ค.52     2M/Q3      YTD
ดัชนีผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรม (MPI)             3.9    -22.0     -10.7      -9.0        -8.6      -8.7     -14.5
 -อาหารและเครื่องดื่ม (15.5% ของ MPI)       0.3     -6.2      -3.0      -6.0       -14.6     -10.4      -6.0
 -เครื่องอิเล็กฯ (7.2% ของ MPI)            20.9    -19.2       4.4       1.6         1.9       1.8      -5.1
 -เครื่องใช้ไฟฟ้า (10.7% ของ MPI)          -1.9    -46.2     -24.1     -21.3       -16.9     -19.1     -30.9
 -ยานยนต์ (5.4% ของ MPI)                 9.0    -46.4     -46.8     -40.1       -20.2     -31.0     -42.8
อัตราการใช้กำลังการผลิต (ระดับ)             62.6     52.2      53.9      56.8        57.3      57.1      54.0
ดัชนีแรงงานภาคอุตสาหกรรม                  -1.0     -7.6      -5.4      -5.6        -4.7      -5.1      -6.1
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม (ระดับ)           77.3     65.5      79.4      89.9        88.0      88.9      76.6
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

3. แนวโน้มและปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความเชื่อมโยงกับภาคการจ้างงานและภาคการส่งออก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้น การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศตามไปด้วย ซึ่งเหตุและปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวนั้น ได้แก่ การฟื้นตัวในภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ โดยจะสรุปสถานการณ์และทิศทางของปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมจากการวิเคราะห์ สถานการณ์การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมล่าสุด สถานการณ์ในภาคการส่งออกของไทยล่าสุด และสถานการณ์การบริโภคภาคเอกชน ดังต่อไปนี้

3.1 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

จากค่าเฉลี่ยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2552 ซึ่งเป็นสองเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 พบว่าหดตัวที่ร้อยละ -8.9 ต่อปี หดตัวลดลงจากไตรมาสที่ 2 ที่หดตัวร้อยละ -10.7 ต่อปี เนื่องจากมีบางอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2 เช่น อุตสาหกรรมการปั่นการทอ ผลิตภัณฑ์จากถ่านโค๊กและการกลั่นน้ำมัน อุปกรณ์วิทยุโทรทัศน์ ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และการผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ ทั้งนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยได้รับอานิสงค์จากอุปสงค์ของต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามมาตรการของรัฐบาลต่างประเทศ ในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเยอรมนี ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย ( เช่น อุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าจำพวกสายไฟและแบตเตอร์รี่ที่ใช้กับรถยนต์) ได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศของรัฐบาลต่างประเทศ ยังส่งผลให้การผลิตและการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการฟื้นตัวในภาคการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมประเภทดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2552 พบว่ามีบางอุตสาหกรรมมีอัตราการผลิตหดตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยาสูบและเครื่องแต่งกาย

3.2 การส่งออกของไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นและมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยไม่รวมปริมาณทองคำ พบว่ามีสัญญาณดีขึ้นหลังผ่านจุดต่ำสุดในเดือนมกราคม 2552 โดยในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 (กรกฎาคม — สิงหาคม 2552) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยไม่รวมทองคำหดตัวที่ร้อยละ -21.1 ต่อปี ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ที่หดตัวร้อยละ -25.5 ต่อปี ทั้งนี้ การฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากอุปสงค์ของสินค้าที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ได้หลุดพ้นจากภาวะถดถอย ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นสำคัญ ทำให้การบริโภคทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น ประเทศจีน ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศจีนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2552 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหดตัวน้อยที่สุดที่ร้อยละ -8.6 ต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยูโรโซนที่หดตัวเฉลี่ยร้อยละ -28.0 ต่อปีแสดงให้เห็นว่าประเทศจีนจะมีบทบาทมากขึ้นต่อทิศทางการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศไทยในอนาคต

จากการวิเคราะห์มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในรูปดอลลาร์สหรัฐตามข้อมูลของกรมศุลกากรพบว่า เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีบางอุตสาหกรรมที่มีสัญญาณการฟื้นตัวค่อนข้างชัดเจนในช่วงเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2552 โดยสินค้าอุตสาหกรรมเริ่มมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกสำหรับการของส่งออกไปในบางประเทศ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และอัญมณีและเครื่องประดับ นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมประเภทอาหารทะเลแปรรูปและรถยนต์ ก็มีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2552 ด้วยเช่นกัน และเมื่อพิจารณาในมิติของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย 9 อันดับแรกเรียงตามสัดส่วนการส่งออกสินค้าของไทย พบว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ในสหภาพยุโรป จีน สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ได้ส่งผลให้การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบของไทยฟื้นตัวโดยเฉพาะที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีนและฮ่องกง อีกทั้งการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ฟื้นตัวโดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังมาเลเซียและตะวันออกกลาง รวมถึงการส่งออกแผงวงจรไฟฟ้าฟื้นตัวโดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่นและสิงคโปร์ การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับฟื้นตัวโดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังฮ่องกงและออสเตรเลีย สำหรับการส่งออกรถยนต์นั้น พบว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2552 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ดัชนีคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Purchasing Manager’s Index: Mfg PMI) ของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยพบว่า ในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 (กรกฎาคม - สิงหาคม 2552) Mfg PMI ของกลุ่มประเทศในยูโรโซน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็น 4 ประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยมีการฟื้นตัวของดัชนีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 และดัชนีดังกล่าวได้ผ่านระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับแบ่งแยกระหว่างภาวะเศรษฐกิจหดตัวและเศรษฐกิจขยายตัวไปแล้ว ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของดัชนีคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม ทำให้คาดว่าประเทศไทยอาจจะได้รับอานิสงค์จากอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นของสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศคู่ค้า ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี

3.3 การบริโภคภายในประเทศมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง

จากตัวเลขเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2552 บ่งชี้ว่าการบริโภคภาคเอกชนในประเทศโดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้น จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในสองเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 0.6 ต่อปีปรับตัวดีขึ้นมากจากไตรมาสที่ 2 ปี 2552 สำหรับปริมาณการบริโภคสินค้าอุตสาหกรรมประเภทรถยนต์ในช่วงเดือนกรกฎาคม —สิงหาคม 2552 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 หดตัวที่ร้อยละ -5.1 ต่อปี ซึ่งเป็นการหดตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -17.4 ต่อปี และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ (รถปิคอัพ) ใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 หดตัวที่ร้อยละ -5.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการหดตัวชะลอลงอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัวสูงถึงร้อยละ -30.5 ต่อปี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างไรก็ตาม ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 ยังคงหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนรายได้เกษตรกรที่ยังคงไม่ฟื้นตัว สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า ในภาพรวมผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 66.8 จากไตรมาสที่ 2 ปี 2552 ที่ระดับ 64.9

ตารางแสดงเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน

อัตราการขยายตัว (%yoy)                      ปี 51    Q1/52    Q2/52   ก.ค.52    ส.ค.52     2M/Q3    YTD
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บภายในประเทศ ณ ราคาคงที่      9.0    -4.5     -1.7      2.1      -0.8       0.6    -2.2
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง                     27.8   -17.4     -8.9     -9.1      -1.1      -5.1   -11.0
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ (รถปิคอัพ)     -19.7   -41.4    -30.5      2.2     -13.2      -5.5   -29.9
ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์                  7.2   -16.4     -9.4    -13.3     -13.8     -13.5   -13.0
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ)                 71.0    67.2     64.9     66.3      67.4      66.8    66.3
ที่มา : รวบรวมโดยสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

จากการวิเคราะห์สถานการณ์การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกของไทยและสถานการณ์การบริโภคภาคเอกชนในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2552 เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อธุรกิจผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการลงทุนตามแผนไทยเข้มแข็ง ทำให้คาดว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 ผลผลิตอุตสาหกรรมอาจจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้คาดการณ์ว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของปี 2552 จะติดลบอยู่ในช่วงร้อยละ (-10.0) — (-8.0) ต่อป

นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมของไทยเป็น 3 กรณี (ภาพที่ 6) คือ กรณีที่ 1 การฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 0.0 ต่อเดือน กรณีที่ 2 การฟื้นตัวที่มีการเร่งขึ้นโดยมีอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 0.5 ต่อเดือน และกรณีที่ 3 การฟื้นตัวที่มีการเร่งขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องโดยมีอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 1.0 ต่อเดือน ทำให้คาดว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมจะกลับมา ขยายตัวเป็นบวกได้ในไตรมาสแรกของปี 2553 ในทั้ง 3 กรณี โดยผลผลิตอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจประมาณเดือนมีนาคม 2553

4. บทสรุป

ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญเป็นโซ่ข้อกลางเชื่อมโยงภาคการส่งออกและการจ้างงานเข้าด้วยกัน โดยภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในด้านอุปทาน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 85 ของปริมาณการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ อีกทั้ง การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานทั้งหมด ดังนั้น การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม จากการวิเคราะห์สถานการณ์การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกของไทยและสถานการณ์การบริโภคภาคเอกชนในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2553 เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ทำให้คาดว่า GDP ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 จะหดตัวน้อยกว่าในไตรมาสที่ 2 และกลับมาขยายตัวในไตรมาสที่ 4 ตามการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 และคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2553 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในปี 2553

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ