- บาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคู่ค้าอื่น
- ตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15 จุดในสัปดาห์นี้เนื่องจากการเข้าซื้อของกองทุนในประเทศเป็นหลัก
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยปรับตัวลดลงในขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า
- ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยไม่เปลี่ยนแปลงมาก
- ราคาน้ำมันดิบและทองปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจากแรงเทขายทำกำไรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น
ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงมาเล็กน้อยจากระดับ 33.12 มาอยู่ที่ระดับ 33.22 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ดัชนีค่าเงินบาทซึ่งถัวเฉลี่ยกับเงินสกุลของคู่ค้าหลัก (NEER) แข็งขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ร้อยละ 0.77 และจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 0.85 เนื่องจากค่าเงินเยนและค่าเงินยูโรได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ ณ วันที่ 4 ธ.ค. 52 อยู่ที่ระดับ 154.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 0.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลดลงในฐานะ Spot ที่ 1.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะที่การถือครองจากฐานะ forward ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 15 จุดในสัปดาห์นี้เนื่องจากการเข้าซื้อของกองทุนในประเทศเป็นหลัก
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นจากตัวเลขการฟนตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐและการผลิตของยุโรปที่ดีขึ้น
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทย (Thai baht fixing) ปรับตัวลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะ 3 เดือนของสหรัฐ (US LIBOR 3 Months) ในช่วงสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในสัปดาห์นี้ไม่เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
ราคาน้ำมันดิบและทองปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจากที่ได้ปรับตัวลดลงมามากในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้การลงทุนในโภคภัณฑ์มีความน่าสนใจลดลง ประกอบกับมีการขายทำกำไรหลังจากที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากในช่วงก่อนหน้า
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th