รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2552

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 23 ธ.ค. 2552

1. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยชี้ตลาดอินเดียบูมสวนเศรษฐกิจโลก

2. ภาครัฐเทงบแสนล้าน 5 ปี เร่งวางระบบราง 700 กม.

3. วิกฤติการเมืองเอเซียหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลก

• การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยว่า ภาพรวมการเดินทางของนักท่องเที่ยวตลาดอินเดีย ที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2552 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 8-10 ต่อปี เนื่องจากมีกำลังซื้อสูง รวมถึงมีสายการบินปกติและสายการบินต้นทุนต่ำเพิ่มเที่ยวบินและเปิดดให้บริการใหม่เพิ่มขึ้น

• สศค. วิเคราะห์ว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ตั้งแต่กลางปี 2551 ส่งผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกให้ชะลอลงจากร้อยละ 2.8 ในปี 2551 เป็นหดตัวร้อยละ -1.3 ในปี 2552 (คาดการณ์ IMF) ท่ามกลางการหดตัวของทั่วโลกประเทศอินเดียมีการเติบโตได้ทั้ง 3 ไตรมาส ในปี 2552 ที่ร้อยละ 6.6 โดย คาดว่าจะมีการขยายตัวที่ร้อยละ 6.8 ต่อปี ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า 11 เดือนแรกปี 2552 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 12.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี โดยเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวจากอินเดีย(สัดส่วนร้อยละ 3.7 จากเอเชียใต้ 4.8 ) ที่ 5.5 แสนคน ขยายตัวที่ร้อยละ 19.4 ต่อปี

• สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า การขนส่งและการจัดการด้านโลจิสติกส์ในประเทศไทย นั้น ได้มีการคัดเลือกเส้นทางสำคัญระยะเร่งด่วน 5 ปี ซึ่งมีระยะทางรวมกว่า 767 กม. วงเงินกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ (1) สายเหนือ จากลพบุรี-นครสวรรค์ (2) สายตะวันออกฉียงเหนือมาบกะเบา-นครราชสีมา (3) สายตะวันออกเฉียงเหนือช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น (4) สายใต้นครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน และ (5) สายใต้ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ทั้ง 5 เส้นทางนี้ สนข.จะเลือกช่วงที่สำคัญที่สุดพัฒนาก่อน 3 เส้นทาง รวม 450 กม.ซึ่งจะก่อสร้างได้ภายในปี 2554 ส่วนการพัฒนาทั้ง 5 เส้นทางเต็มระบบ จะพัฒนาได้อีก 5 ปี ข้างหน้า

• สศค. วิเคราะห์ว่า การลงทุนเพื่อการพัฒนาระบบขนส่ง จะเป็นการลดต้นทุนด้านโลจิกติกส์ของประเทศ โดยปัจจุบันต้นทุนด้านโลจิกติส์ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ของ GDP ซึ่งหากมีการพัฒนาระบบขนส่งที่ดีขึ้น จะส่งผลให้ต้นทุนโลจิกติกส์ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 16 ของ GDP ทั้งนี้ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 รัฐบาลวางแผนดำเนินโครงการลงทุนในด้านการขนส่ง(Logistic) ในวงเงิน 370 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.5 ของกรอบวงเงินลงทุนจำนวน 1.296 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่วนสำคัญในการลดต้นทุนทางด้านโลจิกติกส์ของประเทศต่อไป

• รอยเตอร์รายงานว่า หลังจากที่วิกฤติเศรษฐกิจโลกผ่านพ้นไป ในปี 2010 เอเชียยังจะต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงด้านการเมืองในภูมิภาคซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค ขณะที่สถานการณ์ของตลาดทุนในภูมิภาคนั้น ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นหลายกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

• สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองในเอเชีย โดยเฉพาะปัญหาจากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ และจีน ที่ยังไม่ลงรอยกันในเรื่องของค่าเงินหยวน โดยในปี 2548-2551 จีนได้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับดอลลาร์และเริ่มตรึงค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2551 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 6.8 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นการส่งออกของจีน อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกสหรัฐต้องการให้ทางการจีนกดดันให้จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น นอกเหนือจากเรื่องค่าเงินหยวน ยังมีปัญหาความร่วมมือกันของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชีย ในการกำหนดใช้มาตรการถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การถอนมาตรการกระตุ้นขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละประเทศในการจัดการกับหนี้สาธารณะและการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th