สถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสที่ 4 และแนวโน้ม ในปี 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 28, 2009 14:14 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วไป

Cabinet Office ได้เปิดเผยว่าตัวเลข GDP ประจาไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 ไตรมาสแล้ว เป็นผลมาจากการส่งออกเพิ่มขึ้นและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ได้คาดการณ์ว่า GDP ตลอดปีงบประมาณ 52 จะติดลบร้อยละ - 3.2 และคาดว่า GDP จะเป็นบวกร้อยละ 1.2 ในปี 53

1. ดัชนีภาวะเศรษฐกิจที่สาคัญล่าสุด

1.1 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economic Trade and Industry)ได้เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) เดือน ต.ค.52 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 0.5 เทียบกับเดือน ก.ย.52 เพิ่มติดต่อกัน 8 เดือนแล้ว เป็นผลจากการส่งออกไปจีนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจีนมีการเจริญเติบโตที่สดใสทาให้มีดีมานด์สินค้าจากญี่ปุ่นมากขึ้น

1.2 การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในญี่ปุ่น (Household Spending) กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสาร (Ministry of Internal Affairs and Communications) ได้เปิดเผยว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือน เดือน ต.ค.52 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

1.3 การลงทุนของภาคเอกชน (Capital Spending) Cabinet Office รายงานว่าคาสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือน ต.ค. 52 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มีมูลค่ารวม 704.5 พันล้านเยน การลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

1.4 อัตราการว่างงาน (Jobless) อัตราการว่างงานในเดือนต.ค.ลดลงเป็นร้อยละ 5.1 เทียบกับร้อยละ 5.3 ในเดือน ก.ย.52 ซึ่งการลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว

1.5 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Core Consumer Price) กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ยกเว้นอาหารสด (CPI, ปี 2548=100) ประจาเดือน ต.ค.52 ลดลงร้อยละ 2.2 อยู่ที่ 100.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้บริโภคได้ลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 8 เดือนแล้ว แสดงถึงภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นในเศรษฐกิจญี่ปุ่น

1.6 อุปสงค์ภาครัฐ (Government Demand) ประกอบด้วย การลงทุนภาครัฐ (Public Investment) และการบริโภคภาครัฐ (Government Consumption) ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 52 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ

1.7 ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ต.ค.52 เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือนแล้ว

การเกินดุลการค้าและบริการมีจานวน 618.3 พันล้านเยน ส่วนการเกินดุลการค้ามีจานวน 949.0 พันล้านเยน โดยยอดการส่งออกลดลงร้อยละ -24.6 ลดลงติดต่อกัน 13 เดือนแล้ว ขณะที่การนาเข้าลดลงร้อยละ -37.7 มีสาเหตุมาจากราคาน้ามันลดลงเทียบกับปีก่อนหน้าอย่างมาก

ส่วนการเกินดุลรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทาญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดตลอดมา ลดลงร้อยละ 30.3 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของโลกต่าและค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้น ทาให้รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการลงทุนต่างประเทศลดลง

ดุลบัญชีทุนและการเงินขาดดุล 55.7 พันล้านเยน โดยการลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นในต่างประเทศลดลงอย่างมากเกือบ 4 เท่าเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้า ในขณะที่ต่างประเทศลงทุนตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นมากขึ้นเกือบ 4 เท่าเช่นกัน

1.8 เงินทุนสารองระหว่างประเทศ (International Reserve) กระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เปิดเผยเงินทุนสารองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ณ สิ้นเดือน พ.ย. 52 มีจานวน 1,073.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีน

1.9 ราคาที่ดิน กรมสรรพากรญี่ปุ่น (National Tax Agency) ได้เปิดเผยผลการประเมินราคาที่ดินทั่วญี่ปุ่นใน 47 จังหวัด เมื่อเดือน ก.ค.52 ว่า ได้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และการซบเซาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

1.10 ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ผลการสารวจของ Tankan โดย BOJ ณ ธ.ค.52 พบว่าดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะธุรกิจโดยทั่วไป (Business Sentiment Diffusion Index: DI) ของกลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรมการรายใหญ่เพิ่มขึ้น 9 จุด ปรับตัวดีขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่รู้สึกว่าพ้นออกจากสถานการณ์เลวร้ายทางธุรกิจแล้ว แต่ยังห่วงว่าค่าเงินเยนที่แข็งตัวขึ้นมากจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกมีผลกาไรลดลง

2 . สถานการณ์ภาคการเงิน

2.1 นโยบายอัตราดอกเบี้ย ช่วงที่ผ่านมา BOJ ได้ร่วมมือกับธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเหลือเพียงร้อยละ 0.10 หลังจากที่ได้ลดลงครั้งล่าสุดในเดือน ธ.ค.51

2.2 อัตราแลกเปลี่ยน วิกฤตการเงินโลกทาให้นักลงทุนญี่ปุ่นซื้อเงินเยนเพิ่ม เพื่อนาเงินกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น สถานการณ์ Yen Carry Trade ได้ลดลง ประกอบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง สะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง ส่งผลอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งตัวขึ้นมาก โดย ณ 21 ธ.ค.52 โดย 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 90 เยน

2.3 สถานการณ์ธนาคารพาณิชย์ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ผ่านมาทาให้ Real Sector ประสบปัญหาต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทที่ทาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ SMEs ที่เป็น Supply Chain เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกล้มละลายมากขึ้น ราคาหลักทรัพย์ยังคงปรับตัวลดลง บริษัทขนาดใหญ่ชั้นนา ขาดทุนอย่างหนักนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทาให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นๆของญี่ปุ่นมีผลประกอบการขาดทุน จนต้องใช้เงินทุนของรัฐบาลเข้าไปช่วยฟื้นฟู ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ ช่วงไตรมาส 3 และ 4 มีแนวโน้มดีขึ้น

วิกฤตการเงินที่ผ่านมาได้เปลี่ยน Financial Landscape ในญี่ปุ่น สถาบันการเงินขนาดเล็กควบรวมกิจการกันมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด แต่ธนาคารขนาดใหญ่ ถึงแม้ขาดทุนแต่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งพอที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ของสถาบันการเงินต่างประเทศ อาทิ 1) Sumitomo Mitsui Financial Group Inc. เข้าซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์ Nikko Cordial ในเครือ Citibank สหรัฐฯ 2) Mitsubishi UFJ Financial Group Inc.เข้าซื้อหุ้นของ Morgan Stanley ของสหรัฐฯ 3) ธนาคาร Shinsei และธนาคาร Aozora ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 7 และ 8 ตามลาดับ ควบรวมกิจการเข้าด้วยกันทาให้กลายเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 6 ของญี่ปุ่น 4) บริษัทหลักทรัพย์ Mizuho Securities ได้ประกาศรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์ Shinkou Securities และ 5) AIG โตเกียว ได้ขายอาคารสานักงานที่ตั้งอยู่ย่านธุรกิจการเงินใจกลางกรุงโตเกียว เพื่อใช้หนี้ของสานักงานใหญ่ ซึ่งบริษัทประกันภัยญี่ปุ่น Nippon Insurance ได้เข้าซื้อ

2.4 สัดส่วน NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์ Financial Services Agency: FSA หน่วยงานกากับดูแลธุรกิจการเงินของญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่า NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นรายใหญ่ 11 แห่ง ณ มี.ค. 52 อยู่ที่ระดับร้อยละ1.66 (เพิ่มจาก 1.52 ณ ก.ย.51) สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio: CAR) อยู่ที่ร้อยละ 12.42 (สูงกว่าร้อยละ 11.73 ณ ก.ย.51) และสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กาหนดไว้ร้อยละ 8

2.5 สถานการณ์ตลาดทุน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ได้ทาให้ดัชนีมูลค่าหลักทรัพย์เฉลี่ยที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange: TSE) เมื่อวันที่ 10 มี.ค 52 ลดลงเหลือ 7,054.98 ต่าที่สุดในรอบ 26 ปี เปรียบเทียบกับ เมื่อเดือน มี.ค. 43 ที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 20,081 เยน โดย ณ 21 ธ.ค.52 อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 10,000 เยน

ผลของราคาหลักทรัพย์ลดลงได้ทาให้เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ลดลงและระมัดระวังการปล่อยกู้แก่เอกชนและมีบริษัทล้มละลายมากขึ้น ทั้งนี้ TSE ได้เปิดเผยว่าครึ่งปีแรกของปีนี้มีบริษัทญี่ปุ่น 38 บริษัทถอนชื่อออกจากการซื้อขายหุ้นในตลาดฯ เป็นจานวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2499 เป็นผลมาจากการล้มละลายของบริษัทต่างๆ จานวนมาก รวมทั้งมีการควบรวมกิจการ (Ms&As) กันมากขึ้นเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange Group Inc.) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นจานวนทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งกาลังอยู่ในระหว่างการเตรียมแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้เลื่อนแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากเดิมกาหนดไว้ภายในสิ้นปีนี้ เป็นภายหลังปี 2553 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออานวย

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) มีขนาดเล็ก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยต่าทาให้เอกชนนิยมระดมเงินจากธนาคารพาณิชย์แทน ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) จากการที่รัฐบาลมีหนี้สาธารณะที่อยู่ในรูปของพันธบัตรรัฐบาลเป็นจานวนมาก ปัจจุบันมีจานวนมากกว่าร้อยละ 80 ของจานวนที่มีอยู่ในตลาดและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจัดทางบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น เพราะต้องระดมเงินทุนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในขณะที่หุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) ปัจจุบันมีน้อยมาก เนื่องจากฐานะการเงินของภาคเอกชนอ่อนแอ การขยายการลงทุนลดลง การออกหุ้นกู้ใหม่จึงมีน้อย

3. นโยบายการคลัง

3.1 ภาระหนี้ในรูปของพันธบัตรรัฐบาลในประเทศสูงถึงประมาณร้อยละ 200 ของ GDP และยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเป็นเศรษฐกิจที่มีคนแก่มากขึ้น (Aging Economy) ปัจจุบันประชากรร้อยละ 21 อายุมากกว่า 65 ปี ในขณะที่วัยทางานมีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากอัตราการเกิดลดลง แต่คนมีอายุยืนขึ้น ทาให้รัฐบาลมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและประกันสังคมมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ทาให้ภาระหนี้ของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงฐานะการคลัง โดยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงและมีเป้าหมายจัดทางบประมาณเกินดุลใน ปี 2554 จากที่ขาดดุลงบประมาณติดต่อกันมาหลายปี รวมทั้งได้กาหนดเพดานการออกพันธบัตรรัฐบาล สาหรับเป็นค่าใช้จ่ายในงบประมาณปีละไม่เกิน 30 ล้านล้านเยน แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ทาให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีต่ากว่าเป้าหมายมาก ในขณะที่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทาให้ต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าเพดานที่กาหนดไว้เดิม และเลื่อนเป้าหมายการใช้วินัยการคลังต่างๆ ดังกล่าวออกไป

3.2 ภาพรวมงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2552 ซึ่งได้เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.52 วันเริ่มต้นงบประมาณประจาปีของญี่ปุ่น รายละเอียดตามแผนภูมิ

3.3 สาหรับงบประมาณรายจ่ายปี 2553 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดทา ซึ่งคาดว่าจะมีการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น ภาวะหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องออกพันธบัตรรัฐบาลมาชดเชยรายได้ที่เก็บจากภาษีที่ลดลงเป็นจานวนมาก โดยรายได้จากการเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2551 น้อยที่สุดเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปัจจุบัน เน้นการอุดหนุนรายได้ภาคครัวเรือนแทนการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าว่าจะลดการใช้จ่ายที่ไม่จาเป็นออกไป

4. นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

รัฐบาลได้ประกาศชะลอการแปรรูปธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่น (Development Bank of Japan (DBJ) และธนาคารเพื่อ SMEs (Shoko Chukin Bank) โดยจะขยายเวลาออกไป 3 ปีครึ่ง และได้ตัดสินใจอีกครั้งว่าจาเป็นที่จะแปรรูปสถาบันการเงินทั้งสองแห่งเป็นบริษัทเอกชนหรือไม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออานวย

ภายใต้แผนปฏิรูปสถาบันการเงินของรัฐที่ได้จัดทาขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2551 สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี Koizumi ภายใต้นโยบาย Small Government ให้เอกชนดาเนินการแทนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล นับตั้งแต่แปรรูป Japan Post และได้มีการจัดตั้ง Japan Post Holding Company ที่มีรัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด มีบริษัทย่อยๆ 4 บริษัทได้แก่ 1) Postal Network Co. 2) Japan Post Service Co. 3) Japan Post Bank Co. และ 4) Japan Post Insurance Co. เพื่อทยอยขายหุ้นของบริษัทย่อยดังกล่าวในปีงบประมาณ 2553 และเป็นเอกชนทั้งหมดภายในปี 2560 ซึ่งปัจจุบันการแปรรูปบริษัทย่อย 4 บริษัทดังกล่าวได้เลื่อนออกไป

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับโครงสร้างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงการยุบ การควบรวม การแปรรูป เพื่อลดการสนับสนุนจากภาครัฐและปรับปรุงฐานะการคลังให้ดีขึ้น กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งได้แก่ 1) JBIC (ส่วนงาน EXIM Bank) 2) บรรษัทเงินทุนเพื่อลูกค้าขนาดย่อม (National Life Finance Corporation) 3) บรรษัทเงินทุนเพื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม (Japan Finance Corporation for Small and Medium Enterprises) 4) และบรรษัทเงินทุนเพื่อการเกษตร ป่าไม้และประมง (Agriculture, Forestry, and Fisheries Finance Corporation) ได้ควบรวมกันและเป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งใหม่ชื่อ Japan Finance Corporation (JFC) โดยเริ่มดาเนินการแล้ว นับตั้งแต่ 1 ต.ค. 51 ที่ผ่านมา และบรรษัทเงินทุนเพื่อพัฒนาเกาะ Okinawa (Okinawa Development Finance Corporation) จะต้องควบรวมกับ 4 สถาบันการเงินที่กล่าวข้างต้นภายในปีงบประมาณ 2555 และให้แปรรูป DBJ และ Shoko Chukin Bank เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.51 จนเป็นเอกชนสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันแผนการดังกล่าวได้เลื่อนออกไปเช่นกัน

5. มาตรการเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

รัฐบาลภายใต้การนานายกรัฐมนตรี นาย Yukio Hatoyama หัวหน้าพรรค Democratic Party of Japan: DPJ ฝ่ายค้านเดิม ที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้

5.1 พรรครัฐบาลเดิมได้ใช้นโยบายสนับสนุนภาคเอกชนเป็นกลไกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยได้ให้เงินกู้ช่วยเหลือบริษัทเอกชนเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ แต่รัฐบาลใหม่ใช้นโยบายกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก โดยเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ เน้นการเพิ่มรายได้ต่อ ครัวเรือน โดย ให้การช่วยเหลือโดยตรง เช่นให้เงินช่วยเหลือครัวเรือนเลี้ยงดูบุตรคนละ 26,000 เยนต่อเดือนแก่เด็กทุกคน ปรับปรุงระบบประกันสังคมให้ผู้สูงอายุได้รับบานาญคนละ 70,000 เยนต่อเดือนเป็นต้น ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็นจานวนมาก

5.2 ในด้านการกาหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ จะลดความสาคัญของหน่วยงานภาครัฐและจะเพิ่มบทบาทของนักการเมืองในการกาหนดนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น โดยจะตั้งกระทรวงยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งรัฐมนตรีดูแลโดยเฉพาะ

5.3 จะเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่อุตสาหกรรมการเกษตร พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล อากาศยาน (Aerospace Development) ให้เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก

5.4 รักษาระดับการเก็บภาษีบริโภค (Consumption Tax) ที่ปัจจุบันเก็บที่อัตราร้อยละ 5 เป็นเวลา 4 ปีนับแต่จากนี้ (ถึงปี 2556) โดยจะเน้นลดการใช้จ่ายที่ไม่เป็นประโยชน์แทน ในการปรับปรุงฐานะการคลัง

5.5 จะจัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงระบบภาษีทั้งระบบ แทน Government Tax Commission เดิม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธาน และผู้เกี่ยวข้องทางด้านภาษีจากกระทรวงต่างๆ จานวน 20 คนมาร่วมเป็นคณะกรรมการ และจะยกเลิก Tax System Research Commission

5.6 เน้นความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศในเอเซีย โดยเฉพาะจีน แทนสหรัฐฯในอดีต

5.7 ให้ความสาคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยอาจจะนาระบบ Cap and Trade เหมือนในสหภาพยุโรปมาบังคับเอกชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้กาหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของญี่ปุ่นใหม่ว่า ภายในปี 2563 ญี่ปุ่นจะลดเป็นจานวนถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2533 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงมาก ในขณะที่ได้ประกาศว่าจะใช้เงินงบประมาณจานวน 1.75 ล้านล้านเยน ช่วยเหลือประเทศกาลังพัฒนาเพื่อลดภาวะโลกร้อน

6. สรุปและแนวโน้ม

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะผ่านพ้นจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้ว แต่รัฐบาลใหม่กาลังเผชิญปัญหาท้าทายทางเศรษฐกิจต่างๆ ดังนี้

1) ปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเปราะบาง ประกอบกับค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นมาก มีผลให้การส่งออกของญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอนสูง ภายใต้ข้อจากัดทางด้านเครื่องมือทางการเงินการคลัง-อัตราดอกเบี้ยต่ามากที่ร้อยละ 0.1 ในขณะที่หนี้สาธารณะสูงมาก เกือบ 2 เท่าของ GDP (ปี 50: GDP 423 ล้านล้านเยน ในขณะที่หนี้สาธารณะมีจานวน 849 ล้านล้านเยน)

2) ประชากรเป็น Aging Society ทาให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสวัดิการมากขึ้น และกาลังเป็นปัญหาว่าจะนาเงินจากไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย

3) ปัญหาเงินฝืดที่เกิดจากดัชนีผู้บริโภคลดลงติดต่อกันมา 8 เดือนแล้ว ล่าสุดเดือน ต.ค. 52ลดลงเหลือร้อยละ 2.2

4) ปัญหาอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ระดับสูง เดือนต.ค.อยู่ที่ร้อยละ 5.1 ถึงแม้จะเริ่มลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว เทียบกับร้อยละ 5.7 ในเดือน ก.ค.52

5) ความไม่ชัดเจน (consistency) ของนโยบายรัฐบาลใหม่ ที่ยังสร้างความสับสน ได้แก่

5.1 มาตรการอุดหนุนและเพิ่มการสนับสนุนภาคครัวเรือนต่างๆ ที่ประกาศมามากมายทาให้เกิดความสงสัยว่ารัฐบาลจะนาเงินรายได้จากแหล่งใดมาเป็นค่าใช้จ่าย เนื่องจากหนี้สาธารณะสูงมากกว่าร้อยละ 200 ต่อ GDP

5.2 ลดค่าทางด่วนในวันหยุดเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทาให้เกิดรถติดมากมาย นอกจากนี้ ก่อให้เกิดผลเสียต่อรายได้ของระบบขนส่งมวลชนรวมทั้ง JAL ที่กาลังประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนัก จนรัฐบาลต้องเข้าฟื้นฟูกิจการ

5.3 การประกาศเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของญี่ปุ่นที่สูงมากถึงร้อยละ 25 กาลังได้รับการต่อต้านจากภาคเอกชนโดยเฉพาะสมาพันธ์อุตสาหกรรมญี่ปุ่น เพราะกาลังเป็นภาระต้นทุนของเอกชนและภาคครัวเรือน ในระยะต่อไปรัฐบาลอาจไม่ได้รับความร่วมมือจากเอกชน

5.4 เช่นเดียวกับการประกาศสนับสนุนให้นักการเมืองมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนระบบราชการ ประกาศตัดทอนรายจ่ายของข้าราชการลดลงเป็นจานวนมาก ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันและไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ

5.5 เรื่องอื่นๆ เช่น เปลี่ยนนโยบายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ ล้วนเป็นประเด็นร้อนที่กาลังเป็นที่จับตามองจากทุกฝ่าย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นโยบายใหม่ที่เน้นการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศในเอเซีย น่าจะเป็นผลดีกับประเทศไทย รวมทั้งภูมิภาคเอเซีย

-------------------------

References

1. http://www.cao.go.jp/index-e.html Cabinet Office

2. http://www.mof.go.jp/english/index.htm กระทรวงการคลังญี่ปุ่น

3. รายงาน Monthly Report of Recent Economic and Financial Development, Bank of Japan, September 2009

สานักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลังประจา กรุงโตเกียว

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ