- เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 ธนาคารกลางเวียดนามปรับลดค่าเงินดองร้อยละ 3.36 เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและปริมาณเงินทุนสำรองที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนามยังประกาศกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ของนิติบุคคลที่ร้อยละ 1 เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็งกำไรค่าเงินดองของนิติบุคคล
- ในมิติคู่ค้า สศค. วิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากการปรับลดค่าเงินดองต่อเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนามมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการค้าและการลงทุนของไทยโดยรวม
- ในมิติคู่แข่ง สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับลดค่าเงินดองจะไม่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย เนื่องจากสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศส่วนใหญ่มีความแตกต่างกันอีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อและค่าเงินดองที่ลดลงเป็นต้นทุนการผลิตของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ควรติดตามภาวะการแข่งขันในหมวดสินค้าข้าวและคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของทั้งสองประเทศ
- ประเด็นเชิงนโยบาย ในระยะสั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงอัตราแลกเปลี่ยน อันจะส่งผลเสียต่อภาคการค้าระหว่างประเทศของไทย รวมทั้งเพื่อป้องกันความสูญเสียจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนอีกด้วย ในระยะปานกลาง ไทยควรเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง และเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกในระยะปานกลางรวมทั้ง รัฐควรใช้นโยบายสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อาทิ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาคุณภาพของบุคคลกรผ่านโครงการสนับสนุนการศึกษา เป็นต้น
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 53 ธนาคารกลางเวียดนามได้ปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนทางการ (Official Exchange Rate) ลงร้อยละ 3.36 จาก 17,941 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐเป็น 18,544 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ และได้กำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินฝากสกุลดอลลาร์สหรัฐของนิติบุคคลที่ร้อยละ 1 เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและปริมาณเงินทุนสำรองที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา ธนาคารกลางเวียดนามได้ปรับลดค่าเงินดองมาแล้วรวม 3 ครั้ง (รูปที่ 1) ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 2552 ค่าเงินดองได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกว่าร้อยละ 9.3 การที่ค่าเงินดองอ่อนค่าลงมากในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 4.6 ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย จึงเป็นที่มาของการศึกษาสาเหตุรวมทั้งผลกระทบของการปรับเปลี่ยนดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว
วิกฤตเศรษฐกิจที่เวียดนามกำลังเผชิญในขณะนี้ มีสาเหตุมาจากการที่เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวเร็วเกินไป โดย Real GDP ของเวียดนามได้ขยายตัวสูงที่ระดับร้อยละ 6-9 ในช่วงปี 2547-2551 และแม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกหดตัวจากวิกฤต Lehman Brothers เศรษฐกิจเวียดนามปี 2552 ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.3 จากปีก่อน ทั้งนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยในปี 2552 มาตรการด้านการคลังของเวียดนามมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 9 ของ GDP ซึ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ร้อยละ 5 ของ GDP และในส่วนของมาตรการด้านการเงิน ธนาคารกลางเวียดนามได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างมากจากระดับร้อยละ 14.0 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.0 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2552
การที่เศรษฐกิจเวียดนามได้ขยายตัวในระดับสูง ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นในระดับสูงตามไปด้วยการนำเข้าที่สูงขึ้น กอปรกับส่งออกของเวียดนามที่ชะลอตัวลงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เวียดนามขาดดุลการค้า (Trade Balance) ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 โดยในปี 2552 เวียดนามขาดดุลกว่า 12.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 2) หรือและล่าสุดในเดือนมกราคม 2553 ก็ยังคงขาดดุลต่อเนื่องที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2550 และปี 2551 ได้ถูกชดเชยด้วยการลงทุนทางตรงและทางอ้อมในเวียดนามที่เป็นบวก ส่งผลให้ดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) ของเวียดนามเป็นบวกในปี 2550 และติดลบเล็กน้อยในปี 2551 อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 พิษของวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลให้การลงทุนทางตรงและทางอ้อมในเวียดนามลดลงอย่างมาก ทำให้ดุลการชำระเงินของเวียดนามติดลบอย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรกในปี 2552
การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) ในขณะที่เวียดนามมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ธนาคารกลางเวียดนามต้องเข้ามารับซื้อเงินดองเพื่อพยุงค่าเงินดองไม่ให้อ่อนค่ากว่าอัตราแลกเปลี่ยนทางการที่ได้ตั้งไว้ อันส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาโดยล่าสุดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางเวียดนามลดลงจาก 24.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2551 มาอยู่ที่ 18.42 พันล้านดาลลาร์สหรัฐในเดือนสิงหาคม 2552 การลดลงของเงินทุนสำรองอย่างรวดเร็วดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่ทำให้ธนาคารกลางเวียดนามต้องประกาศลดค่าเงินดองในครั้งนี้
นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนามยังประกาศกำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินฝากสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ของนิติบุคคลที่ร้อยละ 1 เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของนิติบุคคล ที่คาดว่าเงินดองจะอ่อนลงมากขึ้นและหันมาถือเงินฝากในรูปดอลลาร์สหรัฐแทน อันจะเพิ่มแรงกดดันให้ค่าเงินดองอ่อนค่าลงอีกต่อหนึ่ง
การประกาศลดอัตราแลกเปลี่ยนทางการครั้งนี้เป็นการประกาศลดค่าเงินครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ต้นปี 2552 ดังนั้นหากการประกาศลดค่าเงินครั้งนี้ไม่สามารถช่วยลดปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการประกาศลดค่าเงินดองอีกในปีนี้ นอกจากนี้ คาดว่า เวียดนามอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง หลังจากที่ไปปรับเพิ่มไปแล้วเมื่อเดือน พ.ย. 2552 เพื่อลดความร้อนแรงเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาเงินเฟ้อในเวียดนามที่เริ่มกลับมาสูง โดยล่าสุด อัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค. 2553 อยู่ที่ร้อยละ 7.6
สศค. วิเคราะห์ว่าการปรับลดค่าเงินของเวียดนามในครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการค้าและการลงทุนของไทยทั้งหมด โดยจะสรุปผลการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ช่องทาง คือ (1) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการค้าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ และ (2) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องการการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนี้
3.1 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการค้าระหว่างประเทศ
3.1.1 ผลกระทบต่อการค้าไทยในมิติคู่ค้า
สศค. วิเคราะห์ว่าการปรับลดค่าเงินของเวียดนามในครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและเวียดนามมากนัก เนื่องจากการค้าระหว่างไทยและเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการค้าและการลงทุนของไทยทั้งหมด และแม้ว่าเวียดนามจะเป็นคู่ค้าที่สำคัญลำดับที่ 9 ของไทย แต่การค้าระหว่างไทยและเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนที่น้อย โดยในปี 2552 ไทยได้ส่งออกไปเวียดนาม 4,678.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพียงร้อยละ 3.07 ของการส่งออกไทยโดยรวม และนำเข้าจากเวียดนาม 1,385.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพียงร้อยละ1.04 ของการนำเข้าโดยรวม อีกทั้ง มูลค่าการค้าระหว่างไทยและเวียดนามที่ 6,063.87 คิดเป็นสัดส่วนที่น้อย เพียงร้อยละ 2.1 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังเวียดนามได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูปเม็ดพลาสติก และเหล็ก ในขณะที่สินค้านำเข้าหลักของไทย ได้แก่ น้ำมันดิบ และคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
สินค้าที่เวียดนามนำเข้าจากไทยหลายรายการเป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ โดยเฉพาะรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ และเคมีภัณฑ์ ซึ่งใช้ในการผลิตสินค้าส่งออกของเวียดนาม (ตารางที่ 2) ดังนั้น เวียดนามจึงไม่น่าลดปริมาณการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบดังกล่าวจากไทย ดังเห็นได้จากการนำเข้าของสินค้าประเภทวัตถุดิบเหล่านี้ที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2552 แม้ว่าเวียดนามจะได้มีการปรับลดค่าเงินดองในช่วงดังกล่าว
ตารางที่ 1: การค้าระหว่างไทยและเวียดนาม หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2549 2550 2551 2552 อัตราการขยายตัว(%) มูลค่าการค้า 3,970.52 4,916.02 6,468.25 6,063.87 -6.25 การส่งออกของไทย 3,074.97 3,804.11 5,017.80 4,678.46 -6.76 การนำเข้าของไทย 895.55 1,111.91 1,450.45 1,385.42 -4.48 ดุลการค้า +2,179.43 +2,692.20 +3,567.36 +3,293.04 -7.69 ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากเวียดนามหลายรายการเป็นสินค้าที่ไทยมิได้ผลิตเองหรือผลิตไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ อาทิ น้ำมันดิบ และถ่านหิน ซึ่งสินค้านำเข้าเหล่านี้ได้รับอานิสงค์จากค่าเงินดองที่อ่อนค่าลง ทำให้มีมูลค่าการนำเข้าที่มากขึ้น
โดยสรุป จากสัดส่วนการค้าที่น้อย กอปรกับสินค้าที่เวียดนามนำเข้าจากไทยหลายรายการเป็นสินค้าวัตถุดิบเป็นเหตุผลให้ สศค. วิเคราะห์ว่าการปรับลดค่าเงินของเวียดนามไม่น่าจะมีผลกระทบการค้าระหว่างไทยและเวียดนามมากนักเนื่อง
ตารางที่ 2: สินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนาม 5 อันดับแรก สินค้า 2552 อัตราการ สัดส่วนต่อการ ขยายตัว (%) ส่งออกหมด (%) น้ำมันสำเร็จรูป 441.7 -49.64 9.44 เม็ดพลาสติก 338.7 -16.25 7.24 เหล็ก 289.0 -10.83 6.18 รถยนต์และชิ้นส่วน 238.5 +67.23 5.10 เคมีภัณฑ์ 213.1 +30.63 4.55 ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
ตารางที่ 3: สินค้าที่ไทยนำเข้าจากเวียดนาม 5 อันดับแรก สินค้า 2552 อัตราการ สัดส่วนต่อการ ขยายตัว (%) ส่งออกหมด (%) น้ำมันดิบ 356.2 +61.32 25.71 คอมพิวเตอร์ 211.3 -40.35 15.25 เครื่องจักรไฟฟ้า 115.2 +8.80 8.31 เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 64.3 +358.11 4.64 ถ่านหิน 62.5 +94.32 4.51 ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
3.1.2 ผลกระทบต่อการค้าไทยในมิติคู่แข่ง
สศค. วิเคราะห์ว่าการปรับลดค่าเงินของเวียดนามโดยรวมไม่น่าจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในระยะสั้นมากนัก เนื่องจากสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศมีความแตกต่างกันหากพิจารณาจากสินค้าส่งออกสำคัญของไทยและเวียดนาม จะเห็นได้ว่าสินค้าส่งออกของทั้งสองประเทศมีความแตกต่างกันบ้าง (ตารางที่ 4 และ 5) อย่างไรก็ตาม มีสินค้าส่งออกของไทยและเวียดนามบางรายการ ได้แก่ ข้าวคอมพิวเตอร์ ที่ไทยควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศ ดังนั้นในกลุ่มสินค้าเหล่านี้ เวียดนามอาจได้เปรียบในการแข่งขันในหมวดสินค้าดังกล่าวที่สูงขึ้นจากค่าเงินดองที่อ่อนลงได้
ตารางที่ 4 สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนาม สินค้า 2552 (ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อัตราการขยายตัว(%) เสื้อผ้าสำเร็จรูป 9,058 -2.1 น้ำมันดิบ 6,158 -40.5 อาหารทะเล 4,239 -5.2 รองเท้า 4,066 -13.6 คอมพิวเตอร์ 2,725 +1.7 งานศิลปะ 2,663 +140.0 ข้าว 2,621 +1.4 ผลิคภัณฑ์ไม้ 2,535 -10.3 กาแฟ 1,690 -21.7 ถ่านหิน 1,324 +2.3 ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ และ CEIC
ตารางที่ 5 สินค้าส่งออกสำคัญของไทย สินค้า 2552 (ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อัตราการขยายตัว(%) คอมพิวเตอร์ 16,019 -12.87 รถยนต์ 11,121 -28.64 อัญมณี 9,762 +18.04 แผงวงจรไฟฟ้า 6,445 -11.00 น้ำมันสำเร็จรูป 5,430 -31.38 ข้าว 5,047 -18.66 เหล็ก 4,953 -7.63 ยาง 4,488 -1.37 เคมีภัณฑ์ 4,466 +3.64 เมล็ดพลาสติก 4,457 -19.25 ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ และ CEIC
ทั้งนี้ ในสินค้าข้าวที่ไทยและเวียดนามมีการแข่งขันกัน ก็เป็นสินค้าที่ทั้งสองประเทศมีตลาดส่งออกที่แตกต่างกัน โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา เวียดนามส่งออกข้าวไปยังตลาดหลักได้แก่ อาเซียน คิวบา และอิรักในขณะที่ตลาดหลักของไทยได้แก่ อาฟริกา สหรัฐฯ และฮ่องกง
นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบของการลดค่าเงินดองที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตจากสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกจากเวียดนามลดลง แม้ว่าจากต้นปี 2552 ค่าเงินเวียดนามจะอ่อนค่าลงกว่าร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 4) แต่อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของเวียดนามเพิ่มขึ้นตามด้วย (รูปที่ 5) ดังนั้น ค่าเงินดองที่แท้จริงหลังหักเงินเฟ้อ (Real Exchange Rate) อาจไม่ได้ทำให้ความสามารถการแข่งขันด้านราคาของเวียดนามได้เปรียบสินค้าส่งออกไทยมากนัก
โดยสรุป จากสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศมีความแตกต่างกัน กอปรกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบของการลดค่าเงินดองที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตจากสินค้าของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็นเหตุผลให้ สศค. วิเคราะห์การปรับลดค่าเงินของเวียดนามโดยรวมไม่น่าจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยมากนัก อย่างไรก็ตาม ไทยควรต้องติดตามภาวะการแข่งขันในหมวดสินค้าข้าวและคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นหมวดสินค้าส่งออกหลักของทั้งสองประเทศ ประกอบกับการสนับสนุนให้มีการกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง
3.1.3 ผลกระทบต่อการค้าบริการ
สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับลดค่าเงินดองของเวียดนามในครั้งนี้ จะมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยไม่มากนัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากเวียดนามคิดเป็นเพียงสัดส่วนน้อยเพียงร้อยละ 2-3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดที่เดินทางมาประเทศไทย
ตารางที่ 6: จำนวนนักนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม 2549 2550 2551 2552 จำนวนนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม(คน) 228,754 254,252 344,491 374,729 สัดส่วนของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (%) 1.7 1.8 2.4 2.7 ที่มา รวบรวมโดย สศค.
3.2 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการลงทุน
3.2.1 ผลกระทบต่อการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนาม
สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับลดค่าเงินของเวียดนามในครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนามมากนัก เนื่องจากการลงทุนระหว่างไทยและเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการค้าและการลงทุนของไทยทั้งหมด โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2552 (ม.ค. - พ.ย. 52) การลงทุนโดยตรงจาก เวียดนามมายังไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 1.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเพียงร้อยละ 0.03 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด (ตารางที่ 7)
ตารางที่ 7: การลงทุนทางตรงจากเวียดนามมายังไทย 2552 ม.ค. - พ.ย. 2550 2551 Q1 Q2 Q3 2552 เงินลงทุนโดยตรงจากเวียดนาม (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 4.47 -10.79 0.16 0.09 1.55 1.48 สัดส่วนต่อการลงทุนโดยตรงทั้งหมด (%) 0.04 -0.14 0.01 0.01 0.13 0.03 ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
3.2.2 ผลกระทบต่อการลงทุนของต่างชาติในไทย
สศค. วิเคราะห์ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เวียดนามกำลังประสพ เป็นโอกาสของไทยในการดึงดูดฐานการลงทุนกลับมาไทย เนื่องจากปัจหาทางเศรษฐกิจที่เวียดนามกำลังประสพจะส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจเวียดนามลดลง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อย่างเช่นประเทศไทย เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามแล้ว ไทยมีระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า อีกทั้งเสถียรภาพด้านดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังอยู่ในสถานะที่มั่นคงมากกว่ากล่าวคือ ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมากขณะที่เวียดนามขาดดุล อัตราเงินเฟ้อในไทยติดลบอยู่ขณะที่เวียดนามมีอัตราเงินเฟ้อสูง (ตารางที่ 8)
ตารางที่ 8: การเปรียบเทียบข้อมูลเศรษฐกิจพื้นฐานของไทยและเวียดนาม ปี 2552 ไทย เวียดนาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (ร้อยละ) -0.9 6.7 ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) +19.4 -12.4 ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) +20.3 -7.0* ที่มา รวบรวมโดย สศค. หมายเหตุ *คาดการณ์โดย IMF
นโยบายภาครัฐเพื่อรองรับผลกระทบของการลดค่าเงินดองและภาวะเศรษฐกิจเวียดนามในปัจจุบันแบ่งได้ดังนี้
1. นโยบายระยะสั้น ได้แก่
1.1 หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงอัตราแลกเปลี่ยน อันจะส่งผลเสียต่อภาคการค้าระหว่างประเทศของไทย
1.2 หน่วยงานรัฐควรเฝ้าระวังติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่ไหลเข้าหรือออกจากประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะการป้องกันการเก็งกำไรจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้การไหลออกของเงินทุนจากเวียดนามอันเป็นผลจากการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของเวียดนามอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องภายในภูมิภาค (contagion effect) กล่าวคือ นักลงทุนต่างชาติต่างดึงเม็ดเงินออกจากประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งจะทำเกิดการไหลออกของเงินทุนจำนวนมากและกระทบต่อค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาค ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเฝ้าระวังติดตามค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไปซึ่งอาจกระทบต่อการวางแผนการค้าและการลงทุนของผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และนักลงทุน ทั้งนี้อาจแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ในกรณีที่เกิดการเก็งกำไรในตลาดค่าเงินบาทของไทย
1.3 ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนที่ทำการค้าหรือลงทุนในประเทศเวียดนามในการทำการศึกษาถึงผลกระทบของปัญหาภาวะเศรษฐกิจเวียดนามในปัจจุบันเพื่อให้ภาคเอกชนมีการปรับตัวและหาแผนรองรับสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนไทยไม่ได้รับผลกระทบกับปัญหาดังกล่าวมากนักและยังป้องกันผลกระทบทางอ้อมต่อสถาบันการเงินไทยที่เป็นแหล่งเงินกู้ให้กับธุรกิจนั้น ๆ
2. นโยบายระยะปานกลาง ได้แก่
2.1 รัฐบาลควรวางมาตรการเพื่อสนับสนุนการกระจายตลาดส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่มีอัตราการเติบโตดี เช่น จีน ตะวันออกกลาง และอินเดีย ซึ่งจะช่วยปรับสัดส่วนการส่งออกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ให้เกิดความสมดุลระหว่างตลาด สินค้าส่งออกต่างๆมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการพึ่งพาเศรษฐกิจภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งและช่วยให้เกิดเสถียรภาพของภาคการส่งออก ทั้งนี้การพึ่งพาตลาดส่งออกใหญ่เพียงไม่กี่ตลาดจะทำให้ภาคการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบมากกว่าการมีตลาดส่งออกที่หลากหลาย กล่าวคือ หากมีการกระจายตลาดส่งออกของไทย เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งประสบปัญหาทางเศรษฐกิจก็จะกระทบภาคการส่งออกไทยได้น้อยกว่า
2.2 รัฐอาจใช้มาตรการการคลังและการเงินเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีการพึ่งพาแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาคการส่งออกน้อยลง และหันมาพึ่งพาการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะการเร่งการลงทุนในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่มีวงเงินลงทุนมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท เช่น โครงการระบบขนส่ง โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษา เป็นต้น
2.3 รัฐบาลควรใช้นโยบายสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อไม่ให้ประเทศประสพกับปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับเวียดนาม ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อพร้อมกับดึงดูดการเก็งกำไรของนักลงทุน ดังนั้น รัฐจึงควรสนับสนุนมาตรการที่ส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เช่น การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งพัฒนาคุณภาพของบุคคลกรผ่านโครงการสนับสนุนการศึกษา เป็นต้น
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th