รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 19 เมษายน 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 19, 2010 12:12 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 19 เม.ย. 2553

Summary:

1. กสิกรไทยฟันธงสินเชื่อหมดร้อน ดอกเบี้ยขึ้นยาก

2. สมาคมผู้ค้าปลีกไทยประเมินความเสียหายวันละ 1,000 ล้านบาท

3. โกลด์แมนแซคส์อาจถูกฟ้องในอังกฤษและเยอรมัน หลังจากที่ถูกฟ้องในสหรัฐฯ

Highlight:
1. กสิกรไทยฟันธงสินเชื่อหมดร้อน ดอกเบี้ยขึ้นยาก
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองยืดเยื้อออกไป ธนาคารพาณิชย์จะมีการทบทวนการรุกสินเชื่อและการดึงเงินฝากเพื่อเตรียมขยายธุรกิจในปีนี้ ทำให้การแข่งขันกันสู้ราคาในด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่เดิมมีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคงจะเริ่มลดลงจนกว่าสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองจะคลี่คลาย นอกจากนั้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ในการประชุมวันที่ 21 เม.ย.นี้ และรอดูผลกระทบทางการเมืองต่อเศรษฐกิจก่อนที่จะเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ในการทยอยถอยออกจากนโยบายผ่อนปรนเป็นพิเศษ
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การเติบโตของสินเชื่อในเดือนก.พ. 53 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ต่อปี เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อผู้บริโภคที่ร้อยละ 11.6 ต่อปี ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจหดตัวร้อยละ -7.2 ต่อปี โดยอัตราการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวร้อยละ -2.7 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -4.1 ต่อปี ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐยังคงมีอัตราการขยายตัวของการปล่อยสินเชื่อในระดับสูงที่ร้อยละ 18.8 ต่อปี ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 17.8 ต่อปี ซึ่งสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นตัวช่วยในการปล่อยสินเชื่อในระบบ ในช่วงที่เศรษฐกิจและการเมืองมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ สศค. คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 1.25 - 1.75 ต่อปี) ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีตามเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและสภาวะทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
2. สมาคมผู้ค้าปลีกไทยประเมินความเสียหายวันละ 1,000 ล้านบาท
  • ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ภายใต้วิกฤติการเมืองในไตรมาส 2 นี้ยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ ภาคการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ดี ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างคงที่ เมกะโปรเจคต่างๆ เริ่มมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบ ทำให้โดยภาพรวมเศรษฐกิจและการค้ายังประคองสถานการณ์ไปได้ และหากปัญหาการเมืองจบได้เร็วเชื่อว่าภาคธุรกิจจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ความเสียหายต่อศูนย์การค้าและร้านค้าปลีก ในย่านราชประสงค์ที่ต้องปิดให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายวันละ 1,000 ล้านบาท
  • สศค. วิเคราะห์ว่า แม้ว่าสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองจะมีความตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือน - กลางเดือนเม.ย. ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่ทำให้เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวเป็นบวกเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ ต่อเนื่องไปในไตรมาสที่ 2 จะทำให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงร้อยละ 1.17 ต่อปีและจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ -0.5 ต่อปี (จากกรณีฐานที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 ต่อปี ในปี 2553)
3. โกลด์แมนแซคส์อาจถูกฟ้องในอังกฤษและเยอรมัน หลังจากที่ถูกฟ้องในสหรัฐฯ
  • โกลด์แมนแซคส์อาจถูกฟ้องโดยหน่วยงานกำกับดูแลในอังกฤษและเยอรมัน ภายหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ยื่นฟ้อง โกลด์แมน แซคส์ ข้อหาฉ้อโกงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีสินเชื่อบ้านด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) หนุนหลัง ทั้งนี้ SEC กล่าวว่า โกลด์แมน แซคส์ หลอกลวงนักลงทุนด้วยการปิดบังผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อซับไพรม์หนุนหลังหรือค้ำประกัน โดยกล่าวบิดเบือนและละเว้นการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ซับไพรม์ค้ำประกัน ในช่วงเวลาที่ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐเริ่มทรุดลง นอกจากนี้ SEC ยังได้ฟ้อง ฟาบรีซ ตูร์เร รองประธานโกลด์แมน แซคส์ด้วย
  • สศค. วิเคราะห์ว่า การฟ้องร้องโกลด์แมนแซคส์ของ SEC ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะจัดระเบียบและกำกับดูแลธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อป้องกันวิกฤติในภาคการเงินที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้สร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่หวั่นเกรงว่าอาจมีธนาคารใหญ่รายอื่นๆพัวพันกับเรื่องนี้หรือกำลังถูกตรวจสอบอยู่ ทำให้มีการเทขายหุ้นของกลุ่มธนาคารอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนี MSCI ในเอเชียแปซิฟิกปรับลดลงร้อยละ 0.9 มาอยู่ที่ 127.06

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ